เมื่อก่อนดิฉันไม่เคยเชื่อเลยว่ากำลังใจจะมีอิทธิพลกับการเจ็บไข้ได้ป่วยของเรา ต่อเมื่อมันเกิดขึ้นกับตัวเองแล้วจึงได้เชื่อ
เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว ดิฉันมีเรื่องทำให้คิดมาก ประกอบกับเป็นช่วงที่ดิฉันเพิ่งคลอดบุตรได้เพียง 20 วันเท่านั้น ฉะนั้นเมื่อมีอะไรมากระทบกระเทือนใจเพียงนิดหน่อย จะรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาทันที ปวดจนทนไม่ได้ ในที่สุดก็ต้องซื้อยาแก้ปวดมากินเอง โดยซื้อยาพาราเซตามอลกินวันละ 6 เม็ด เพราะถ้าไม่กินจะทนไม่ได้เลย กินอยู่ประมาณ 4 วันติดต่อกันอาการก็ไม่ดีขึ้นเลย มันทรมานจริงๆ เวลาปวดขึ้นมาแต่ละครั้ง
จึงตัดสินใจไปหาหมอที่โรงพยาบาล หมอบอกว่าดิฉันเครียด คิดมาก จึงทำให้ปวดศีรษะได้ อย่าพยายามคิดมากแล้วจะหายเอง ดิฉันถามหมอคนนั้นว่ากินยาแก้ปวดติดๆกันหลายวันจะมีอันตรายไหม ท่านตอบว่าไม่เป็นไรหรอกกินได้ แต่ต้องเป็นยาพาราเซตามอลนะ ถ้ายาแอสไพรินจะอันตราย
หลังจากไปหาหมอแล้ว ดิฉันก็ยังไม่หายจากอาการปวดศีรษะทั้งๆที่ไม่ได้คิดอะไรแล้ว จึงกินยาแก้ปวดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งน้องของดิฉันเตือนว่าอย่ากินยาแก้ปวดมากนะ ไม่ดีหรอก ดิฉันก็เถียงว่า ถามหมอแล้ว หมอบอกว่ากินได้ไม่เป็นไร แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวเหมือนกัน
วันนั้นจึงพยายามอดทนไม่ยอมกินยา 2 ชั่วโมงผ่านไปตัวยิ่งร้อนจัด มือเท้าเย็นเฉียบ ศีรษะหนักอึ้ง และแล้วก็ต้องกินยาแก้ปวดอีก 2 เม็ดจนได้ พอหายไข้แล้วดิฉันก็รู้สึกกลุ้มใจมาก เพราะไม่ทราบว่าตัวเองเป็นอะไรแน่ พอหมดฤทธิ์ยาตัวก็ร้อน ต้องกินยาทุก 6 ชั่วโมง ยิ่งคิดอาการปวดศีรษะก็ยิ่งกำเริบ (ดิฉันเป็นคนกรุงเทพฯ เมื่อแต่งงานแล้วก็มาอยู่กับสามีที่ยะลา)
และในคืนวันนั้นเอง พี่สาวจากกรุงเทพฯได้โทร.มาถามข่าวคราว ดิฉันรู้สึกดีใจมาก เพราะพี่สาวคนนี้เปรียบเสมือนแม่คนหนึ่งของดิฉัน เนื่องจากคุณพ่อคุณแม่ได้เสียชีวิตไปตั้งแต่ดิฉันยังเล็กๆ เราคุยกันสักพักหนึ่ง พร้อมทั้งได้เล่าอาการไข้ให้พี่ฟังด้วย พี่ได้แนะนำให้ดิฉันไปหาหมออีกครั้ง
พอรุ่งเช้าดิฉันไม่มีอาการไข้และปวดศีรษะอีกเลย มีความรู้สึกว่าตัวเองสดชื่นขึ้นมาก วันนั้นทั้งวันกระปรี้กระเปร่า วันต่อๆมาก็ไม่เป็นอีก ในใจมีแต่ความรู้สึกว่ายังมีคนห่วงเรา คอยถามทุกข์สุขและให้กำลังใจ
เหตุการณ์ในครั้งนี้เองที่ทำให้ดิฉันคิดว่ากำลังใจนั้นบางครั้งก็มีส่วนในการบำบัดรักษาอาการไข้ได้ไม่มากก็น้อย
- อ่าน 2,484 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้