• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

เมื่อข้าพเจ้าใช้ห้องพักในโรงพยาบาลเป็นห้องนั่งกรรมฐาน (ตอนที่ 2)

ได้ถามตนเองว่า ความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมานจากการเจ็บป่วยในครั้งนี้นั้นคลี่คลายได้อย่างไร คำตอบก็ออกมาว่า เป็นเพราะการกำหนดรู้สึกตัวในอารมณ์ปัจจุบันอยู่ตลอดเวลา อันมีผลทำให้จิตผ่องแผ้วบริสุทธิ์ กิเลสซึ่งประกอบด้วย โลภะ โทสะ โมหะ ไม่สามารถกล้ำกรายเข้ามาได้ ความทุกข์จึงหายสิ้น แล้วก็คิดต่อไปอีกว่า การที่เรากระทำได้เช่นนี้ก็เพราะเราได้ฝึกฝนปฏิบัติการกำหนดรู้ และทำความรู้สึกตัวมาก่อน นั่นคือ การเจริญสติปัฏฐาน 4 นั่นเอง และถ้าหากดิฉันไม่เคยปรารภเหตุคือ ฝึกปฏิบัติมาก่อน ผลพิเศษอย่างนี้ย่อมจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย

ดังนั้นในช่วงนี้ ดิฉันจึงนึกถึงบุญคุณของคุณแม่สิริอย่างมากที่สุด ท่านเป็นผู้นำดิฉันเข้ามาพบแสงสว่างแห่งชีวิต รับรู้รสแห่งธรรมะ และรู้ซึ้งถึงคำว่า “จิตผ่องแผ้วบริสุทธิ์” ในขณะเดียวกันดิฉันก็นึกถึงพระคุณของท่านเจ้าของบ้านที่ได้อนุญาตให้ดิฉันเข้าปฏิบัติ อาทิ คุณแม่จำนง ไรวา คุณฝน (จุฑาทิพย์ สนิทพันธ์) คุณบุญยง ว่องวานิช คุณเผดิม บุนนาค พี่สินเสริม เลขะวนิช หลวงพ่อพระครูภาวนาวิสุทธิ์ อาจารย์มันตา หอรัตนชัย และคณะ ซึ่งเป็นผู้ให้สัปปายะทุกอย่างในเรื่องที่อยู่ อาหารการกินดูแลให้บริการความสะดวก ให้ทั้งน้ำคำน้ำใจ และความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งเป็นส่วนผสมผสานให้ดิฉันได้รับเอาคำสอนของคุณแม่สิริเข้ามาปฏิบัติ และบังเกิดผลอย่างมากมาย

และดิฉันก็นึกถึงบุญคุณของบุพการี และผู้มีอุปการคุณทั้งหลาย ท้ายที่สุดก็ขอบใจตนเองเป็นอันมากที่ตนเองได้รับคำสอนจากคุณแม่แล้ว ไม่ละทิ้ง มีความเพียรพยายาม ทำมาตลอด ไม่ว่าจะทำได้น้อยหรือทำได้มากก็ทำสะสมกันเรื่อยมา ถ้าหากดิฉันไม่ได้เคยปฏิบัติธรรมะมาก่อนแล้ว ดิฉันเชื่อเหลือเกินว่า ดิฉันคงต้องพบกับความทุกข์ และความเศร้าหมองของจิตใจอันเนื่องมาจากผลแห่งความเจ็บป่วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นับเป็นโชคลาภอันประเสริฐของดิฉันโดยแท้

เมื่ออยู่ครบ 7 วัน หมอได้มาเอาผ้าที่ปิดหน้าท้องออก ก็คิดว่าเสร็จสิ้นกันที คงจะได้กลับบ้าน ไม่คาดคิดว่าจะต้องอยู่โรงพยาบาลต่อไปอีก ตลอดเวลาที่ผ่านมาดิฉันรู้สึกว่า สามีค่อนข้างเครียด จิตใจไม่แจ่มใสนัก เขาคอยแต่บอกดิฉันว่า “คุณอยู่ไปเรื่อยๆ อยู่สบายๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องบ้าน” ก็นึกสงสัย ก็ “สงสัยหนอ” แต่ก็ไม่ได้ซักถาม เพราะรู้สึกว่าเขาไม่อยากจะพูดตอบอะไรเลย ดูมันอึมครึมชอบกล

จนกระทั่งหมอที่ผ่าตัดมาบอกว่า “คุณจำเนียร ผมอยากให้ไปคุยกับคุณหมอภิญโญ” ทันทีที่ได้ยินชื่อ ดิฉันก็พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไรขึ้นมาบ้าง คุณหมอภิญโญ ท่านอยู่แผนกรังสี ญาติซึ่งเป็นลูกพี่เป็นมะเร็งที่เต้านม เคยไปรับการรักษาฉายแสงจากท่านและอยู่ประมาณ 10 ปีก็เสีย ดิฉันก็กระจ่างแจ้ง รับรู้ในใจ และกำหนดว่า “รู้หนอ” แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร และก็ไม่ได้ถามใคร

เมื่อไปพบคุณหมอภิญโญพร้อมกับสามี ท่านก็พยายามอธิบายอย่างทะนุถนอม ประคับประคองจิตใจดิฉันมาก บอกว่า “การให้คุณจำเนียรมารับการฉายแสงก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นมะเร็งนะ มีเรื่องมากมายที่จำเป็นต้องใช้การฉายแสงเข้าช่วย” ดิฉันก็รับรู้แล้วว่าจะต้องอยู่โรงพยาบาลต่อไปอีก และก็เดาเอาเองว่า คงจะต้องรับการฉายแสง 1-2 ครั้งเท่านั้น เพราะไม่มีผู้ใดบอกอะไรๆที่แจ่มแจ้งให้ดิฉันได้ทราบเลย

ต่อมาดิฉันได้รู้ความจริงจากเจ้าหน้าที่ฉายแสงว่าดิฉันจะต้องมารับการฉายแสงถึง 20 ครั้ง และหลังจากนั้นเมื่อร่างกายสมบูรณ์แล้ว จะต้องฝังแร่อีก 1-2 ครั้ง เจ้าหน้าที่เขามีท่าทางงงมากทีเดียว ที่ดิฉันมานั่งซักถามรายละเอียดต่างๆจากเขา แทนที่จะได้รับรู้จากหมอโดยตรง ความคลุมเครือไม่แน่ชัด ก็เริ่มประจักษ์ขึ้นในใจเดี๋ยวนั้นว่าดิฉันเป็นมะเร็งแน่ๆ

เมื่อรู้แน่ชัด ดิฉันยิ่งเพียรพยายามกำหนดสติให้อยู่ในอารมณ์ปัจจุบันให้ละเอียดมากขึ้น เพราะตระหนักดีว่าจะช่วยให้ดิฉันพ้นทุกข์ได้ ซึ่งก็เป็นความจริงแท้แน่นอน แต่กระนั้นบางเวลานึกน้อยใจที่จะต้องคิดว่า “ทำไมต้องเป็นเรา ทำไมเราจึงอาภัพนัก ทำไมเราจึงเคราะห์ร้ายเสียนี่กระไร” เพราะคำว่า “มะเร็ง”

ในความรู้สึกของทุกคน “กลัว” ดิฉันก็ “กลัว” และก็วาดภาพตลอดว่า บั้นปลายชีวิตเราคงต้องเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานมาก และตายในที่สุด สภาพจิตของดิฉันในตอนนั้นเริ่มเศร้าหมอง และเมื่อรู้สึกตัว ก็กำหนด “คิดหนอ ฟุ้งซ่านหนอ เศร้าใจหนอ” และอย่างฉับพลัน ความคิดก็ผุดขึ้นตามมาว่า “อ้อ เราคงมีวิบากกรรม เป็นการดีแล้วที่เราจะได้ค่อยๆใช้หนี้ให้หมดไปเสีย” จิตใจก็สบายเป็นปกติ

ต่อจากนั้น ดิฉันก็พยายามตั้งจิตให้มั่นอยู่กับอารมณ์ปัจจุบัน คือมีสติกำหนดรู้สภาวธรรมที่เข้ามาปรากฏในทุกทวาร คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จนจิตใจสงบ สบาย ไม่รู้ทุกข์ และสามารถที่จะบอกกับลูก และญาติพี่น้องได้ด้วยน้ำเสียงและท่าทางอันเป็นปกติว่า “จะต้องอยู่ต่อไปอีกนาน หมอให้ฉายแสงและฝังแร่” ระหว่างที่พูด ดิฉันชำเลืองดู ก็รู้ว่าทุกคนเขาฟังด้วยความตกใจ ขณะเดียวกันเขาก็พยายามสังเกตสีหน้าท่าทางดิฉัน แต่ปรากฏว่าดิฉันเฉยเป็นปกติ ความตระหนกตกใจของเขาเหล่านั้นก็เริ่มคลายลง
 

ข้อมูลสื่อ

107-022
นิตยสารหมอชาวบ้าน 107
มีนาคม 2531
ธรรมโอสถ
พอ.(พิเศษ)ทองคำ ศรีโยธิน