• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ตอนที่ 3 ( เพลินพันธุ์ไม้ )

 ตอนที่ 3 ( เพลินพันธุ์ไม้ )

 

หลังจากสวดมนต์ก่อนนอนแล้วล้มตัวลงนอน หลับตาทำจิตใจให้ว่างเพื่อที่จะได้หลับได้ง่าย พลันก็ได้กลิ่นหอมเย็นๆของเครื่องกระแจะจันทน์ ซึ่งเครื่องกระแจะจันทน์นั้นเป็นน้ำหอมหรือน้ำปรุงของชาวชนบทในสมัยโบราณ เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีเครื่องปรุงน้ำหอมหรือแป้งประเทืองผิวเสริมความงามเหมือนอย่างในปัจจุบัน

อันเครื่องหอมน้ำปรุงนั้น จะประกอบด้วยเปลือกชลูด เปลือกต้นกำยาน จันทน์ชมด พิมเสน และน้ำฝน
ตัวยาทั้ง 4 อย่างนั้นสามารถนำมาปรุงเป็นยาหอม แก้ลมขึ้นเบื้องสูงได้ เป็นยารสสุขุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเปลือกชลูดนอกจากจะนำมาทำยาหอมแล้วยังใช้เป็นยารักษาเนื้อผ้าไหมให้คงทนไม่กินตัวได้อีกด้วย และยังมีกลิ่นหอม โดยการนำเอาเปลือกชลูดมาต้มกับน้ำให้เดือดแล้วปล่อยให้เย็น นำผ้าไหมที่ซักสะอาดดีแล้วนำลงไปแช่ไว้ในน้ำต้มเปลือกชลูด โดยแช่ทิ้งไว้สัก 1-2 ชั่วโมง แล้วนำไปตากแดดให้ผ้าแห้งเก็บพับใส่ตู้ได้ ไม่ต้องกลัวว่าจะกินตัว เมื่อจะนำไปใช้ก็จะใช้ได้เลยและมีกลิ่นหอมอีกด้วย

เมื่อได้ทราบถึงคุณประโยชน์สรรพคุณทางยาแล้วก็มาทราบถึงน้ำปรุงกันบ้างพอควร คือ น้ำฝน โดยมากชาวบ้านตามชนบทมักจะมีน้ำฝน ซึ่งมักจะมีด้วยกันทุกครัวเรือน โดยมากรองเก็บเอาไว้ดื่มกินกัน
เมื่อจะทำน้ำปรุงก็ต้องใช้น้ำฝน โดยนำเอาตัวยา 3 อย่างคือ เปลือกชลูด เปลือกต้นกำยาน จันทน์ชมด นำมาต้มกับน้ำฝน เมื่อเดือดทั่วดีแล้วก็นำเอาพิมเสนใส่ลงไปปิดฝาให้สนิท ปล่อยทิ้งไว้ให้เย็นแล้วรินเอาน้ำนั้นออกมาใช้ โดยเวลาจะใช้ก็เอาดินสอพองพอควรใส่ลงในภาชนะหรือขวดขนาดพอเหมาะ แล้วเติมน้ำปรุงลงในขวด เขย่าขวดให้ดินสอพองละลายเข้ากับน้ำปรุง ก็จะได้แป้งร่ำน้ำปรุง ใช้ในเวลาหลังอาบน้ำ เมื่อเช็ดตัวแห้งดีแล้วก็ใช้แป้งร่ำน้ำปรุงทาชโลมใบหน้า แขน คอ ลำตัว ก็จะทำให้เย็นสบาย

หรือบางทีอาจจะทำเป็นแป้งร่ำอย่างเดียวก็ได้ ใช้เครื่องปรุงชนิดเดียวกัน กรรมวิธีเดียวกัน ต่างกันตรงที่แป้งร่ำนั้นไม่เปียก เป็นแป้งแห้งแต่มีกลิ่นหอมของน้ำปรุงเท่านั้น โดยทำครั้งละเป็นจำนวนมากเก็บไว้ใช้ได้นานๆ การทำแป้งร่ำนั้นวิธีทำก็เหมือนกับการทำแป้งน้ำปรุง โดยเอาน้ำปรุงที่ใสๆรินใส่ในภาชนะที่จะทำแล้วเอาดินสอพองมาละลาย หรือแช่ในภาชนะที่ใส่น้ำปรุงแล้วคนหรือกวนให้แป้งละลายดีแล้วก็นำไปผึ่งลม ห้ามตากแดด เพราะจะทำให้เสียกลิ่น ต้องผึ่งการลม จะกินเวลาหลายวันกว่าจะแห้ง เมื่อแห้งสนิทดีแล้วก็นำไปเก็บไว้ในภาชนะหรือขวดที่เก็บกลิ่นได้ เวลาจะใช้ก็นำมาผสมกับน้ำพอสมควร หรือจะทำเป็นแป้งฝุ่นก็ได้
หากใครคิดจะทำแป้งร่ำน้ำปรุงไว้ใช้เองแล้วก็จะเป็นการประหยัดได้มากทีเดียว นอกจากจะประหยัดแล้ว ยังเป็นการอนุรักษ์มรดกและวัฒนธรรมประเพณีของไทยเราได้อีกด้วย ในปัจจุบันนี้โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ถ้าจะใช้น้ำฝนแล้วขอให้พิจารณาบ้าง เพราะในอากาศมีสารเจือปนมาก อาจทำให้เกิดผื่นคันได้

หลับไปนานเท่าไรไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงคนเดินอยู่ข้างห้องนอน ได้ยินเสียงตักน้ำ จึงได้รู้ว่าใกล้สว่างแล้วจึงได้ลุกขึ้นออกจากห้อง ก็พบกับคุณลุง ท่านนั่งเล่นอยู่ที่ชานเรือน หลังจากได้ทำธุระในตอนเช้าหลังตื่นนอนแล้ว เมื่อแต่งตัวเสร็จก็ได้ออกมานั่งคุยกับคุณลุงท่านที่นอกชานเรือน
อากาศช่างดีอะไรเช่นนั้น เย็นพอสบาย กลิ่นดอกไม้หอมอ่อนๆ ส่งกลิ่นหอมมาตามสายลม เสียงนกร้องทักกันเมื่อยามออกหากินในเวลาเช้า เมื่อมองออกไปทางท้องทุ่งได้เห็นภาพชาวนาออกไปทำนาพร้อมกับครอบครัวหรือเพื่อนบ้าน บ้างก็จูงควาย บ้างก็แบกคันไถ ภาพอย่างนี้จะหาดูได้ยากหากไม่ใช่คนชนบทหลังสู่ฟ้าหน้าสู้ดิน หากินบนแผ่นดินของตนเอง นี้แหละคือยาอายุวัฒนะ อากาศดี ได้ออกกำลังกายในตอนเช้าอย่างสม่ำเสมอจึงทำให้คนชนบทมีอายุยืนยาวกว่าคนกรุงในปัจจุบัน

นั่งมองดูภาพชีวิตตามชนบทจนเพลินก็ได้ยินเสียงคุณลุงเรียกให้ดื่มน้ำข้าวร้อนๆด้วยกัน “โอ้น้ำข้าว” น้ำข้าวตามชนบทนั้นมีความหมายมาก เป็นยอดอาหารที่มีวิตามินสูง ผิดกับคนกรุงเทพฯที่เห็นน้ำข้าวเป็นของที่ไม่มีคุณค่า ไม่เหมาะที่คนจะใช้กินกัน และก็หากินกันได้ยากด้วยเช่นกัน
หลังจากได้ซดน้ำข้าวร้อนๆแล้วรู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้น พระอาทิตย์ก็ได้ส่องแสงรำไรขึ้นมาจากฟากฟ้าทางทิศตะวันออก พอจะมองเห็นต้นไม้ต้นไร่ได้ชัดเจนแล้ว คุณลุงก็ได้ชวนกันไปเดินเล่นรอบๆบ้านของท่าน

เมื่อผมจะใส่รองเท้าไปเดินกับคุณลุง ท่านก็บอกว่าให้ถอดรองเท้าเดินเท้าเปล่า การเดินเท้าเปล่าโดยย่ำลงไปบนดินที่มีต้นหญ้าซึ่งเปียกชุ่มไปด้วยน้ำค้างยามเช้าอย่างนี้ จะทำให้เลือดลมวิ่งดีขึ้น นอกจากนั้นยังทำให้สุขภาพกาย สุขภาพจิต และอายุยืนยาวดีขึ้นอีกด้วย การได้มาที่บ้านคุณลุงครั้งนี้นับว่ามีประโยชน์มหาศาลสำหรับผมมาก นอกจากจะได้ความรู้อะไรดีๆเกี่ยวกับต้นไม้ต่างๆแล้วยังได้ความรู้รอบตัวอีกมากทีเดียวเดินพ้นบันไดแล้วก็เลี้ยวขวาไปทางด้านข้างของบ้าน สิ่งแรกที่พบเห็นก็คือ ต้นมะละกอ ซึ่งเป็นต้นไม้ที่ปลูกง่าย มีผลกินเนื้อได้หวานอร่อย นอกจากเป็นอาหารแล้วยังมีสรรพคุณทางยาอีกด้วย คือ
เนื้อของมะละกอสุก ใช้เป็นยาระบายอ่อนๆ บำรุงผิวหนัง ช่วยสายตา
รากและต้น ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ
ยางของต้นมะละกอ ใช้หมักเนื้อสัตว์ต่างๆให้ยุ่ยเปื่อย และยังใช้กัดแผลเรื้อรัง

ต้นมะละกอนั้นคนโบราณถือเป็นต้นไม้ต้องห้าม คือ ห้ามนำมาปลูกไว้ในบริเวณบ้าน จะปลูกก็ต้องปลูกให้ห่างจากตัวบ้าน หรือปลูกในที่ไม่มีคนเดินผ่าน ผู้เขียนเข้าใจว่ามะละกอนั้นไม่ได้มีอาถรรพ์หรือมีมีอิทธิฤทธิ์อะไรเลย เพราะต้นมะละกอนั้นเป็นต้นไม้ที่ไม่มีแก่น เนื้อไม้ยุ่ยเปราะ ไม่มีความแข็งแรง เมื่อเจริญเต็มที่ออกผลมากๆน้ำหนักของผลมะละกอก็จะถ่วง ทำให้ต้นหักหรือโค่นได้ง่ายเมื่อถูกลมพัด หรือเมื่อเด็กที่จะปีนขึ้นเก็บลูกมะละกอ จึงทำให้คนโบราณห้ามปลูกต้นมะละกอไว้ในบ้าน เพราะกลัวอันตรายจากต้นมะละกอ ดังที่กล่าวมานี้

ถัดจากต้นมะละกอที่อยู่ข้างรั้วบ้าน ก็ได้พบกับต้นฟักทอง ที่กำลังออกดอกผลอยู่เต็มต้น บางลูกก็ใหญ่แก่เต็มที่เหมาะที่จะนำมาปรุงเป็นอาหารก็ได้หรือทำเป็นของหวานก็น่ากิน ลูกแก่ใช้เนื้อผัดกับหมู ไก่ กุ้ง ก็จะมีรสอันโอชะ หรือจะทำเป็นของหวานก็เหมาะคือ ผลฟักทองแก่มาหั่นเป็นชิ้นๆใหญ่พอประมาณและนำมาต้มหรือนึ่งก็ได้ เมื่อสุกแล้วใช้จิ้มน้ำตาลหรืออาจจะมีมะพร้าวขูดเป็นเส้นฝอยๆคลุกเคล้ากับน้ำตาลด้วยก็ได้ส่วนผลที่ยังไม่แก่นักก็นิยมนำมาขุดไส้กลางออกแล้วทำสังขยาใส่ไว้ตรงกลางลูกนอกจากจะนำมาปรุงอาหารแล้วฟักทองยังมีสรรพคุณทางยาได้อีกด้วย
เนื้อฟักทอง นำมาตำให้ละเอียด ใช้เป็นยาพอกแก้แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก บำรุงกระดูก บำรุงเลือด บำรุงร่างกาย
เมล็ดฟักทอง เป็นยาขับพยาธิตัวตืด โดยนำมาคั่วให้สุกพอเหลืองก็พรมด้วยน้ำเกลือพอเค็มอ่อนๆแล้วผึ่งลมให้แห้งก็นำไปกินได้ นอกจากเป็นอาหารที่คนกินแล้ว ยังเป็นอาหารและยาขับพยาธิของสัตว์เลี้ยงได้อีกด้วย
รากฟักทอง ใช้เป็นยาถอนพิษ พิษผิดสำแดง อาหารเป็นพิษ โดยใช้ฝนกับน้ำซาวข้าว หรือฝนกับเหล้าใช้ดับพิษแมลงหรือสัตว์มีพิษกัดต่อย (ใช้ภายนอก)

ถัดไปก็พบมะระขี้นก เป็นพืชล้มลุก ใช้กินกับน้ำพริก ยังมีสรรพคุณแก้ไข้ แก้พิษฝี ที่รั้วไม้ไผ่ขัดแตะมีต้นตำลึงขึ้นอยู่จำนวนมาก ใบและยอดอ่อนนำมาต้มกับหมูหรือไก่ทำแกงจืด หรือจะนำมาปรุงใส่ไว้ในแกงเลียงก็อร่อย นอกจากจะเป็นอาหารแล้วยังใช้เป็นยาได้อีกคือ เป็นยาดับพิษถอนพิษร้อนพิษไข้ต่างๆใช้ใบสดหรือลูกสุกต้นตำลึงตำให้ละเอียดพอกหรือถูทาตามร่างกายที่ถูกพิษต่างๆที่มีอาการเจ็บปวดแสบปวดร้อน เช่น ถูกหมามุ่ยหรือแมงกะพรุนไฟ

เมื่อเดินไปถึงสุดรั้วก็ได้พบกับต้นขี้เหล็กที่มีใบดกหนาทั้งต้น ทำให้นึกอยากกินแกงขี้เหล็กใส่ปลาย่างหรือน้ำปลาร้าขึ้นมา หรือจะนำมาลวกน้ำร้อนใช้จิ้มน้ำพริกก็ได้รสชาติดี หากจะใช้เป็นยาก็ได้
ใบ ใช้เป็นยาระบาย ทำให้ทางเดินอาหารเป็นปกติ
ดอก ใช้เป็นยาแก้นอนไม่หลับ
แก่น ใช้ปรุงเป็นยาบำรุงโลหิตหรือแก้กระษัย แก้ปวดเมื่อยต่างๆ แก้โรคประจำเดือนพิการ

ต้นบัวบก
เป็นพืชอีกอย่างหนึ่งที่มักจะพบเห็นกันเป็นประจำตามสวนที่ร่มชื้น ใช้เป็นผักจิ้มสำหรับอาหารประเภทน้ำพริก หรือน้ำพริกไตปลาก็ได้ หรือจะนำมาเป็นเครื่องเคียงสำหรับผัดไทย หากผัดไทยไม่ได้ใส่ใบบัวบกหรือเครื่องเคียงแล้วคนที่รู้จะรู้สึกว่าได้ขาดอะไรบางอย่างไป
นอกจากนี้ยังสามารถนำมาตำให้ลพเอียดแล้วคั้นน้ำใส่น้ำตาลทรายแดงพอหวานกินเป็นยาขับปัสสาวะ บำรุงธาตุ แก้ร้อนในและช้ำในได้เป็นอย่างดี

มองเลยออกไปริมรั้ว ต้นสะเดา สะเดาเป็นต้นไม้อีกต้นหนึ่งที่ชาวบ้านนิยมปลูกกัน แต่ส่วนมากจะปลูกอยู่ตามริมทางเดินหรือตามวัด เพราะต้นสะเดานั้นมีประโยชน์ใช้ได้ทั้งต้นหรือทุกส่วนของต้นเลยก็ว่าได้
ดอกสะเดา มักนิยมนำมาใช้กินกับน้ำพริกหรือน้ำปลาหวาน อาจจะมีปลาดุกย่างหรือกุ้งเผาผสมผสานร่วมด้วยก็อร่อยปาก โดยจะกินดิบหรือลวกน้ำร้อนพอสุกก็อร่อยเท่ากันแล้วแต่ชอบ ส่วนอาหารชนิดอื่นที่ใช้ใบอ่อนหรือดอกสะเดามาประกอบเป็นอาหารมักจะไม่ค่อยนิยมกันนัก
นอกจากจะใช้ปรุงประกอบอาหารแล้ว สะเดานับจากใบยอดสุดจนถึงรากใช้เป็นยาแก้ไข้ แก้ร้อนในดับพิษ ถอนพิษ บำรุงโลหิต บำรุงน้ำดีได้อีกด้วย


หลังจากได้ชมต้นไม้ต่างๆหลากหลายชนิดเป็นเวลาพอสมควร แสงแดดก็เริ่มกล้าขึ้น คุณลุงก็ได้บอกให้กินอาหารเช้าก่อน แล้วท่านจะพาเดินชมต้นไม้อีกในระแวกบ้านของท่าน


                                                                                                                                (อ่านต่อฉบับหน้า)

 

 

ข้อมูลสื่อ

91-010
นิตยสารหมอชาวบ้าน 91
ตุลาคม 2529
หมอไท