• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ตอนที่ 1 ( การฝึกพลังนิ้ว )

ตอนที่ 1 ( การฝึกพลังนิ้ว )

       

 

หมอนวด” คำๆ นี้อาจจะเป็นการด่าว่าหรือการดูถูกคน โดยเฉพาะคุณผู้หญิงในปัจจุบันนี้ก็ได้

หากหญิงผู้ใดถูกเรียกว่า “หมอนวด” แล้ว มักจะถูกตีความว่าเป็นผู้หญิงประเภทคุณตัวด้วย ซึ่งผู้ถูกเรียกบางคนก็เป็นเดือดเป็นแค้น บางคนก็เฉยๆ บางคนก็ไม่ว่าอะไรเพราะความจริงก็เป็นเช่นนั้น
คำว่าหมอนวดในสมัยปัจจุบันนี้กับสมัยอดีตก่อนราวปี พ.ศ.2515 จึงมีความหมายแตกต่างกันมาก
สมัยอดีตคนที่ถูกเรียกว่าหมอนวดนั้น จะมี ความภูมิใจในอาชีพหมอนวด ของตนเป็นอย่างมาก เพราะเป็นอาชีพอิสระสามารถเลี้ยงชีพได้โดยไม่เป็นที่รังเกียจของสังคมดังเช่นปัจจุบัน
อดีตกาลหมอนวดจะมีเฉพาะแต่ในรั้วในวังเท่านั้น ไม่ได้มีดังเช่นเวลานี้ เพราะหมอนวดจะมีได้ก็ต้องศึกษาหาความรู้ความชำนาญมาเป็นเวลานานและจะนวดแต่พระเจ้าแผ่นดินหรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เท่านั้น

หมอนวดบางคนที่มีฝีมือดีนวดจนเป็นที่ถูกใจ ก็อาจจะได้ลาภ ยศ ตำแหน่ง เป็นถึงชั้นท่านขุน คุณหลวง และคุณพระ ดังตัวอย่างที่หมอนวดได้รับเมื่อสมัยก่อนคือ
1. บรรดาศักดิ์ พระวรวงศ์รักษาตำแหน่ง จางวาง มีศักดินา 800 ไร่
2. บรรดาศักดิ์ หลวงสัมพาหแพทย์ ตำแหน่ง ปลัดจางวาง มีศักดินา 400 ไร่
3. บรรดาศักดิ์ หลวงสัมพาหภักดี ตำแหน่ง ปลัดจางวาง มีศักดินา 400 ไร่
4. บรรดาศักดิ์ หลวงประสาทวิจิตร ตำแหน่ง เจ้ากรมซ้าย มีศักดินา 800 ไร่
5. บรรดาศักดิ์ หลวงประสิทธิหัตถา ตำแหน่ง เจ้ากรมขวา มีศักดินา 800 ไร่
6. บรรดาศักดิ์ ขุนวาตาพินาศ ตำแหน่ง ปลัดกรมขวา มีศักดินา 400 ไร่
7. บรรดาศักดิ์ ขุนศรีสัมพาห ตำแหน่ง ปลัดกรมซ้าย มีศักดินา 400 ไร่

หมอนวดสมัยอดีตต้องเป็นหมอที่มีความรู้ความสามารถและความชำนาญเป็นที่ประจักษ์ ครั้นได้เข้ารับราชการก็ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติคุณให้เป็นที่ปรากฏแก่วงศ์ตระกูลและคนทั่วไป ซึ่งไม่เหมือนกับในสมัยปัจจุบันนี้ ผู้ที่เป็นหมอนวดก็อาจจะได้รับเกียรติให้เป็นอีตัวด้วย
หมอนวดในสมัยปัจจุบันที่ได้มีการวิวัฒนาการไปมาก เพื่อให้เหมาะแก่ยุคปากกัดตีนถีบเพื่อความอยู่รอด และการที่จะเป็นหมอนวดก็เป็นได้ไม่ยาก แต่จะเป็นหมอนวดแบบไหนล่ะ
จะเป็นหมอนวดที่นวดเส้นแก้เคล็ดขัดยอก แก้โรคภัยบางชนิด หรือเป็นหมอนวดตามสถานบริการ ซึ่งประเภทหลังนี้จะไม่กล่าวถึง
  
                              


เรามาว่ากันถึงหมอนวดที่หมายถึงหมอจับเส้นหรือเรียกว่าหมอเส้นกันดีกว่า
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้นว่า หมอนวดจะมีแต่เฉพาะในรั้วในวังเท่านั้นแล้วเราจะไปเรียนรู้กันได้อย่างไร คือว่า หมอนวดต่างๆ ในสมัยก่อนนั้น เมื่อครั้งรับราชการเป็นหมอนวดหลวงอยู่ก็รับราชการของตนไปตามหน้าที่ แต่พออายุมากขึ้นและมีหมอนวดรุ่นใหม่เข้ามาแทนที่ คนเก่าก็ต้องเกษียณอายุราชการออกไปอยู่กับบ้านอยู่กับที่ดินที่ได้รับพระราชทานมา
ดังที่ได้เป็นที่รู้กันอยู่ว่า คนโบราณนั้นมักจะเป็นคนขยันไม่ค่อยจะยอมอยู่นิ่งๆ เมื่อต้องออกจากราชการแล้วก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร นอกจากความรู้ของตนเท่านั้นคือ การนวดเมื่ออยู่ว่างๆก็สอนให้ลูกหลานหรือเพื่อนบ้านหัดนวดหรือรับนวดบ้างเป็นบางครั้งครั้นเวลาล่วงไปนานเข้า ลูกหลานหรือเพื่อนบ้านที่มาหัดก็มีความรู้ความชำนาญก็ได้ถ่ายทอดกันสืบต่อไป

ครั้นถึงปี พ.ศ.2475 ก็มีหมอท่านหนึ่งได้มีความคิดริเริ่มตั้งสถานที่ขึ้นเพื่อเป็นการเผยแพร่ความรู้ในด้านการรักษาโดยใช้ยาสมุนไพร และการนวดขึ้นเป็นครั้งแรก โดยให้ผู้ที่มีความสนใจทั้งหลายสมัครเข้ารับความรู้ได้โดยไม่ต้องเสียเงิน โดยการตั้งเป็นสถานที่ฝึกสอนให้คนทั่วไป ซึ่งการสอนในขณะนั้นมีผู้สนใจบ้างไม่มากเท่าไรนักต่อๆมาก็มีผู้สนใจมากขึ้นมีผู้มาสมัครเรียนกันมาก ก็เลยมีความคิดที่จะรวบรวมบรรดาผู้ที่ได้มาเรียน ได้มีการพบปะแลกเปลี่ยนความรู้กัน จึงได้มีการจัดตั้งเป็นสมาคมกันขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยใช้ชื่อว่า สมาคมแพทย์แผนโบราณแห่งประเทศไทย โดยมี ท่านอาจารย์หมอใหญ่ สีตวาทิน เป็นนายกสมาคม และเป็นอาจารย์สอนด้วยต่อมาลูกศิษย์ต่างๆของท่านได้แยกตนเองออกไปจัดตั้งสมาคมใหญ่ๆกัน ดังที่ได้ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน

การเรียนนวดนี้ หากเราจะไปสมัครเรียนตามสมาคมก็จะเป็นการดีที่จะได้มีผู้แนะนำในการปฏิบัติตนฝึกหัดเรียนรู้ถึงเส้นต่างๆตามร่างกายของคนเราแต่การที่จะไปเรียนตามสมาคมนั้นจะต้องมีเวลามีเงินเป็นค่าเรียน หากเราไม่ค่อยจะมีเงินหรือเวลาแล้วก็สามารถที่จะหัดเป็นหมอนวดด้วยตนเองก็พอจะได้บ้าง มิใช่จะไม่ได้เสียเลย


                        
ก่อนอื่นเราจะต้องทำตนเองให้พร้อมเสียก่อนคือ จะต้องหัดฝึกนิ้วของตนเองให้มีกำลังและแข็งพอที่จะกดหรือจับเส้นได้ โดยให้ผู้ที่จะหัดนวดจะต้องหัดนวดเทียนขี้ผึ้งเสียก่อนการนวดเทียนขี้ผึ้งนี้ต้องฝึกกันเป็นเวลานานพอสมควร ก่อนอื่นจะต้องหาเทียนไขหนัก 1 บาท ขี้ผึ้งหนักประมาณ 5 บาท นำเทียนขี้ผึ้งทั้งสองชนิดไปหลอมให้เข้ากัน แล้วปั้นให้เป็นก้อนกลมหรือเหลี่ยมก็ได้
เสร็จแล้วก็จะต้องหัดบีบเทียนขี้ผึ้งนั้นอยู่เสมอหรือจะทำเป็นเวลาก็ได้การบีบก็ให้ใช้เทียนขี้ผึ้งอยู่ที่นิ้วทั้ง 3 คือ นิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง โดยวางเทียนขี้ผึ้งที่นิ้วชี้กับนิ้วกลาง แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือบีบลงบนเทียนขี้ผึ้ง โดยหัดบีบไปเรื่อยๆ จนกว่าเทียนขี้ผึ้งก้อนนั้นจะนิ่ม

เมื่อหัดบีบใหม่ๆ จะมีอาการปวดที่นิ้ว ก็ให้พักเสียก่อน เมื่อหายปวดหลังก็ให้บีบต่อไปอีก บีบจนกว่าเทียนขี้ผึ้งจะนิ่มฝึกเช่นนี้ประมาณ 3-5 เดือนก็จะทำให้นิ้วมือมีความแข็งแรง ซึ่งผู้ที่บีบเทียนขี้ผึ้งนี้จะสามารถทดสอบได้ด้วยการบีบแขนของตนเองเมื่อฝึกพลังนิ้วบีบเทียนขี้ผึ้งแล้ว อันดับต่อไปก็คือการฝึกสมาธิและพลังของข้อมือเมื่อฝึกสมาธิและข้อมือดีแล้วก็ต้องเรียนรู้ถึงจุดต่างๆของเส้นที่ทำให้เกิดโรคหรืออาการเคล็ด ขัดยอก หรือเส้นตึง จาดผู้ที่มีความรู้ความชำนาญต่อไป


                                                                                                                             (อ่านต่อฉบับหน้า)

 

ข้อมูลสื่อ

88-012
นิตยสารหมอชาวบ้าน 88
สิงหาคม 2529
นวดไทย
บุญเทียม ตันติ์เตชรัตน์