• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

คุยกันเรื่องติดยาม้า ยาขยัน

คุยกันเรื่องติดยาม้า ยาขยัน


เริ่มพบ...ใช้ทั่วไป...จนกระทั่ง..ห้าม ผิดกฎหมาย
ยาแอมเฟทตามินหรือที่เราเรียกกันว่า ยาขยัน ยาม้า ยาแก้ง่วง ได้มีการพบตั้งแต่ปี 2420 ว่ามีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ในสมัยก่อนมีคนติดกันมากที่เราเรียกว่า เบนซีดีน สเปรย์(Benzedine Spray) สำหรับใช้พ่นเข้าจมูก ซึ่งขายทั่วไป โดยไม่ต้องมีใบสั่งยา

จนกระทั่งปี 2480 ยานี้ถูนำมาขายในรูปของยาเม็ด แล้วก็ได้พบว่ามีประโยชน์ในการรักษาโรคนาโคเลปซี(Narcolepsy)

แล้วในระยะต่อมา สมาคมแพทย์อเมริกันในสมัยนั้น ระหว่าง พ.ศ.2480-2490 พบว่าแอมเฟทตามินสามารถรักษาโรคซึมเศร้าได้ เลยอนุญาตให้ใช้โดยไม่ต้องควบคุม โดยไม่มีใครรู้ว่ามันเสพติด คนที่ซึมเศร้าเวลาคิดจะฆ่าตัวตาย พอกินยานี้รู้สึกแจ่มใสขึ้นไม่ฆ่าตัวตาย

เมื่อ พ.ศ.2487 รัฐบาลอเมริกันได้ออกคำสั่ง ห้ามใช้ยาพ่นจมูกหรือยาเบนซีดีน สเปรย์ เพราะพบว่าติดและห้ามขายและทำเด็ดขาด ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มียาตัวนี้ขาย

เมื่อ พ.ศ.2501 ได้มีการสำรวจและพบว่าได้มีการผลิตแอมเฟทตามินในแบบต่าง ๆ กันถึง 3,500 เม็ด

ในปี 2510 มีการขายยานี้ถึง 8,000 ล้านเม็ด แล้วการระบาดที่เกิดขึ้นบางรายก็ถึงแก่ความตายได้เช่น การใช้ยานี้ฉีดเข้าหลอดเลือดในขนาดสูง

ในปี พ.ศ.2510 เป็นต้นมา เริ่มมีการประกาศห้ามและจัดยานี้เป็นยาเสพติดส่วนหนึ่ง จนกระทั่งถึงปัจจุบันองค์การสหประชาชาติและทุกชาติได้ถือว่า ยาแอมเฟทตามินเป็นยาเสพติดแล้ว มีรายงานการตายจากยานี้อยู่เรื่อย ๆ


กลุ่มบุคคลที่พบ
ถึงแม้ปัญหาของประเทศเรายังไม่มากเหมือนชาติอื่น ๆ แต่อัตราของการติดสูงมาก กลุ่มบุคคลที่พบว่ามักใช้ยานี้ก็มี
กลุ่มนักเรียน นักศึกษา ที่ต้องการดูหนังสือดึก ทำงานดึก หรือกลุ่มวัยรุ่นที่ใช้ยานี้เล่นเป็นของสนุกในระยะแรก ๆ
กลุ่มชาวประมงชาวทะเล
เพราะว่ายานี้สามารถทำให้ทำงานได้ตลอดคืน
กลุ่มคนที่ต้องขับรถทางไกล เพราะยาสามารถทำให้ขับรถนาน ๆ โดยไม่ง่วง
กลุ่มดาราภาพยนตร์ พวกนางแบบ ที่ต้องการทำงานดึก ๆ


อาการเด่นชัด.....ที่พบได้จากผู้ติดแอมเฟทตามิน
เมื่อใช้แรก ๆ สำหรับคนที่ไม่ติดก็มักจะหวังให้กระปรี้กระเปร่าเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามเราพบว่า บางคนก็อาจแพ้ยานี้ได้ มีอาการหน้าแดง หายใจลำบาก ไข้ขึ้นสูง ใจสั่น ความดันโลหิตสูงขึ้น คลื่นไส้อาเจียน
ถ้ากินมากไปเกินขนาดสักนิด ก็อาจทำให้ไข้สูงมากขึ้น ชัก หัวใจหยุดทำงานแล้วก็ถึงแก่ความตายในที่สุดได้
คนทั่วไปที่กินเป็นประจำ 4-6 เม็ดต่อวัน ก็อาจจะมีอาการใจสั่น
ถ้ากิน 15-20 เม็ดต่อวัน (ซึ่งคนติดบางคนมากกว่านี้) เราพบว่าส่วนมากจะเกิดประสาทหลอนได้ โดยมากก็เป็นภาพหลอนกับหูแว่ว ผู้ที่ใช้ยาขนาดสูงมาก ๆ เป็นประจำก็จะเกิดอาการหงุดหงิด สับสน วุ่นวาย แล้วประสาทหลอนอย่างรุนแรง
เราพบบ่อย ๆ ญาติพาคนไข้มาโรงพยาบาลด้วยอาการของโรคจิต รักษาอยู่ 2-3 วัน ถึงรู้ว่า คนไข้ติดแอมเฟทตามินเป็นประจำ ญาติก็ไม่ทราบคนไข้ก็ไม่ได้บอกเพราะมีอาการโรคจิตอยู่ อาการเด่นชัดของโรคที่เราพบได้จากยาแอมเฟทตามินก็คือ ระแวงประสาทหลอน วุ่นวายมาก เพราะว่าคนพวกนี้จะกลัวภาพและเสียงหลอนที่เกิดขึ้น


ติดไม่ยาก
โอกาสติดไม่ยากนัก ถ้ากินทุกวันประมาณ 2 อาทิตย์ ก็ติดแล้ว
อาการเด่นชัดของโรคจิตที่เราพบได้จากยาแอมเฟทตามินก็คือ ระแวง ประสาทหลอน วุ่นวายมาก


เลิกต้องอด
คนไข้ที่ใช้ยาอยู่เป็นประจำจนติด ถ้าคิดจะเลิก ด้วยเหตุผลใดก็ตาม เนื่องจากมันเป็นยาเสพติด ก็จะต้องมีการอดยาแน่ ๆ จึงควรปรึกษาแพทย์
คนที่กินขนาด 4-6 เม็ดต่อวันแล้วเลิก ก็จะมีอาการง่วนนอนตลอดเวลา เพราะยานี้กระตุ้นอยู่ พอเลิกกระตุ้นก็ง่วง หงุดหงิด ฝันร้าย บางทีก็คิดสับสนวุ่นวาย ปวดศีรษะ เหงื่อออกมาก
ในรายที่ใช้ 2-3 เม็ดต่อวัน ถ้าเลิกจะมีอาการหิวอาหารมาก กินเก่งหลายรายจะพบว่า เลิกใช้ยาแล้วจะซึมเศร้า ระยะเวลาของอาการในการเลิกก็สั้นกว่ากัญชา กัญชาจะมีอาการประมาณ 3-6 เดือน แต่แอมเฟทตามิน มีอาการประมาณ 1 เดือนก็หายได้
อย่างไรก็ตามโดยมากเราไม่สามารถแก้สิ่งแวดล้อมได้ คนที่เลิกก็กลับไปเจอสภาพแวดล้อมเดิมอีก คนขับรถก็ขับรถอย่างเดิม แล้วก็ถูกบังคับให้ขับรถไกลอย่างเดิม


ร่างกายเราไม่ใช่เครื่องจักร
ผมคิดว่าเมื่อเป็นสารเสพติดจะเรียกว่ายาขยัน ยาม้า ยาแก้ง่วงก็ตามทุกคนก็ไม่ควรจะใช้ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม เราต้องเข้าใจว่าร่างกายเราไม่ใช่เครื่องจักร เครื่องยนต์จะไปเร่งมัน เมื่อร่างกายเราไปไม่ไหวเราไปเร่งมันก็โทรมเป็นธรรมดา หัวใจคนเราเต้น 80 ครั้งต่อนาที กินแอมเฟทตามินเข้าไปเต้น 100 ครั้งต่อนาที มันจะอยู่ได้นานเท่าไร เดือนสองเดือนมันก็พังแล้ว มองง่าย ๆ เลยว่านี่คืออันตราย และยังมีอันตรายที่เรายังไม่รู้อีกมากเช่น
โรคจิต โรคประสาทต่าง ๆ มันอาจตามมาแล้วอาจจะถาวรไม่หายก็ได้ บางรายเราพบว่าเป็นแล้วไม่หายเลยก็มี


กินยาลดความอ้วนควรระวัง
แอมเฟทตามินนี้ที่จริงระบาดอยู่ในเมืองไทย 15 ปีที่แล้ว โดยเรียกว่ายาลดความอ้วน แพทย์ได้พบยานี้มีผลโดยตรงต่อสมองส่วนกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งศูนย์กลางของความหิว เมื่อกินเข้าไปจะกระตุ้นให้ไม่รู้สึกหิว โดยทั่ว ๆ ไปก็นำมาใช้ลดน้ำหนัก ระยะนั้นมีแพทย์รู้เท่าไม่ถึงการณ์หลายคนนำมาใช้ จนกระทรวงสาธารณสุขได้เตือนและลงโทษไปในที่สุด
อย่างไรก็ตามก็ยังมียาที่เรารู้เท่าไม่ถึงการณ์อีก คนที่ขายก็พยายามหลอกลวงเราบอกว่าไม่ใช่ยาเสพติด ปัจจุบันมียาลดความอ้วนอีกหลายตัวที่ไม่ใช่แอมเฟทตามิน แต่คุณสมบัติเหมือนกัน
ใครที่จะกินยาลดความอ้วน ควรระวังควรปรึกษาแพทย์ก่อน อันที่จริงวิธีลดความอ้วนก็มีวิธีอื่นอีกมากมายที่ไม่ต้องกินยา


ไม่เชื่อว่าปราบปรามอย่างเดียวจะทำได้

ไม่ว่ายาเสพติดตัวไหน ไม่มีอะไรดีกว่าการป้องกัน
ผมไม่เชื่อว่าปราบปรามอย่างเดียวจะทำได้ เพราะว่าเมื่อคนต้องการซื้อคนขายก็ได้กำไร คนซื้อไปใช้ก็คิดว่าได้กำไร เพราะฉะนั้นไม่มีทางปราบได้หมด ผมคิดว่าควรให้คนทั่วไปรู้ว่าอันตรายมันเป็นอย่างไร ผลจะเป็นอย่างไร


ของมีคุณก็มีโทษ ของมีโทษก็มีคุณ
แอมเฟทตามินนี้ถึงแม้เราได้พบว่ามันเป็นยาเสพติด แต่ก็ยังมีประโยชน์ในการรักษาโรคหลายโรค
มีโรคอยู่โรคหนึ่งเป็นโรคที่คนเราง่วงหลับโดยไม่ทราบสาเหตุชื่อตามภาษาแพทย์ว่า นาโคเลปซี่(Narcolepsy) มีคนเป็นกัน ถึงไม่มากก็มีหลายราย บ้านเราก็มีพบได้ เราพบว่า โรคนี้เป็นความพิการของเนื้อสมองส่วนหนึ่ง เมื่อถึงเวลามันจะหลับฟุบไปเลย มีคุณหมอคนหนึ่งเป็นโรคนี้ หมอคนนั้นจะหลับแม้กระทั่งในเวลากินอาหาร หน้าทิ่มลงไปในจานข้าว เราพบว่าในการรักษาถ้าใช้แอมเฟทตามินในขนาดพอสมควรโดยต้องกินตลอดไป ก็สามารถป้องกันให้หายเด็ดขาดได้เหมือนกัน
ใช้รักษาโรคกล้ามเนื้อกระตุกจากสมองอักเสบ รักษาโรคประสาท โรคจิตในบางราย

ใช้รักษาเด็ก อันนี้เป็นปรากฏการณ์ที่ค่อนข้างแปลกสักนิดหนึ่ง เด็กที่ผมกล่าวถึงคือ เด็กที่มีความพิการทางสมอง เราเรียกเด็กพวกนี้ว่า ไฮเปอร์แอคตีฟ ไชลด์(Hyperactive Child) อายุประมาณ 4-5 ขวบ วุ่นวาย อยู่ไม่สุข จับไม่อยู่ วิ่งไปวิ่งมาเป็นอยู่มาก เราได้พบว่าถ้าใช้แอมเฟทตามินขนาดสัก
น้อย ๆ เด็กพวกนี้อาการจะหายไปได้
นอกจากนั้น ก็ยังมีแพทย์หลายคนที่ใช้ยานี้ เพราะมีความจำเป็นจริง ๆ เช่น คนที่อ้วนมากเกินไป แล้วอาจมีโรคหัวใจอยู่ด้วย คนพวกนี้ถ้าเผื่อทิ้งไว้คือให้อ้วนต่อไปอาจจะตาย แอมเฟทตามินก็อาจช่วยได้ แต่ต้องอยู่ในการควบคุมของแพทย์


ควร.....ลงโทษอย่างรุนแรง
เรื่องหนึ่งที่ผมว่าทางราชการควรหาทางแก้ไขและลงโทษอย่างรุนแรง มีเจ้าของรถบางคนซึ่งเราก็รู้ดีว่า คนขับไม่ใช่เจ้าของรถ คนที่มีรถหลายคัน เราจับได้เสมอ ๆ แต่ว่าไม่มีการลงโทษ เขาจะตั้งเป็นกฎไว้เลยคือ เขาบังคับให้ทุกคนที่มาทำงานกับเขากินยา เขาจะซื้อยาให้เลย กินวันละเม็ดหรือ 2 เม็ดต่อวัน โดยความมุ่งหวังว่าจะได้ทำงานมากขึ้น เขาไม่เคยคิดว่า อันตรายของมันมากมายเหลือเกิน
การกินยาแล้วขับทางไกลนี่ คนที่ไม่เคยกินหรือคนที่ไวต่อมัน ใจจะสั่นพวกนี้จะไวต่อผลกระทบมาก อะไรมากระตุ้นจะไวมากเช่น รถสวนมาเปิดไฟจ้า แทนที่จะไม่ตกใจก็ตกใจก็ชน ยิ่งกว่านั้น ถ้าเผื่อกินเข้าไปแล้วติดบ้างแล้ว กลางทางหายาไม่ได้ ยามันหมดฤทธิ์ขึ้นมา ก็ง่วงก็ชนอีก
เราเชื่อว่าอุบัติเหตุรถสิบล้อบนทางหลวงมากกว่าร้อยละ 60 เป็นเพราะยาม้า หรือม้าขาว แล้วนอกนั้นก็คือเมาเหล้า เป็นส่วนใหญ่

ที่จริงเราก็มีกฎหมายนะครับ แต่ตำรวจไทยของเราพอรถชนตูม ดูรถทันที ขีดเส้นกันใหญ่ ไม่เคยดูคนขับเลย เราต้องดูคนขับก่อน ถ้าเมาก็ไม่ต้องพูดอะไรกันเลย
ถ้าดูท่าทางมันตื่นตระหนกตกใจก็จับไปตรวจแอมเฟทตามิน วิธีตรวจง่ายมาก โรงพยาบาลไหนก็ตรวจได้ ยิ่งเหล้านี่ง่าย เป่าลูกโป่งก็ยังได้ แต่เรามองข้างพวกนี้ไปหมด
ตำรวจผู้ใหญ่ ๆ รู้ทั้งนั้นแหละโดยเฉพาะที่ไปเมืองนอกมา ผมว่าเป็นเรื่องที่ควรมีการแก้ไข


หลายสิ่งหลายอย่าง......ควรไวกว่านี้อีกนิด
หลายสิ่งหลายอย่างรัฐบาลไม่ค่อยมองหรือมองข้าม อย่างสารระเหยทินเนอร์ ในอเมริกาเขาออกกฎหมายหลายเมืองว่าเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ห้ามซื้อทินเนอร์ เหมือนกับกฎหมายของเขาที่คนอายุต่ำกว่า 20 ปี ซื้อเหล้าไม่ได้ เขาขอดูบัตรไอดีการ์ด(คล้ายเป็นบัตรประจำตัวของเรา)เลย วิธีนี้ก็เป็นการปราม ๆ กันไว้อย่างหนึ่ง
เรื่องแอมเฟทตามินก็เช่นกันควรให้ความรู้ให้มากขึ้นกับเจ้าหน้าที่จะเป็นตำรวจ หรือสารวัตรยา รวมทั้งคนทั่วไป เพื่อหาทางป้องกันเสีย


ยาตัวใหม่กำลังมาเข้ามาแทนแอมเฟทตามิน
ปัจจุบันนี้เราพบว่า ยาแอมเฟทตามินหายากมาก เพราะเป็นของผิดกฎหมาย แต่ปรากฏว่ามีคนนำยาตัวหนึ่งที่ใช้แก้หอบหืดชื่อว่า อีฟีดรีม (ephedrine) มาขายให้กับคนทั่วไปในรูปของ
แอมเฟทตามิน
ในปี 2524 ได้มีการจับกุมในกรุงเทพฯ 4-5 ครั้ง ได้พบยาหลายพันหลายหมื่นเม็ด ปรากฏว่าไม่ใช่แอมเฟทตามินเป็นยาอีฟีดรีน คนที่ขายยา อย่างเช่นตามปั้มน้ำมัน ได้นำยาอีฟิดรีนนี้มาขายเป็นยาม้า ราคาเม็ดละประมาณ 5-10 บาท(โดยทั่วไป ยาอีฟีดรีนเป็นยาที่ใช้แก้อาการหอบหืด วางจำหน่าย ประมาณเม็ดละ 15 สตางค์)
ยาอีฟีดรีนนี้กินเข้าไปแล้วมีผลคล้ายกับแอมเฟทตามิน กินมากก็กระตุ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าในตอนนี้ยังไม่พบว่าเป็นยาเสพติด แต่การที่เรากินแล้วกระตุ้นให้ร่างกายทำงานเกินปกติ ก็ย่อมมีผลเสียต่อสุขภาพอย่างแน่นอน .
 

ข้อมูลสื่อ

37-002
นิตยสารหมอชาวบ้าน 37
พฤษภาคม 2525
อื่น ๆ
นพ.อรุณ เชาวนาศัย