แบบจำลองเชื้อไวรัสเอดส์
เอดส์ เป็นโรคใหม่ที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อเกือบ 8 ปีก่อน เวลานี้โรคเอดส์แพร่กระจายทั่วโลก ทั้งในทวีปอเมริกา แอฟริกา ยุโรป ออสเตรเลีย และเอเซีย ผู้ป่วยและผู้ติดเชื้อทวีจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะนี้ผู้ป่วยทั่วโลกเท่าที่รวบรวมได้ประมาณ 130,000 คน และผู้ติดเชื้อไวรัสเอดส์ทั้งที่มีอาการและไม่มีอาการอีกไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน
การติดเชื้อไวรัสเอดส์ สันนิษฐานว่า เริ่มจากประเทศในแอฟริกาเมื่อกว่า 10 ปีก่อนแล้ว แล้วเดินทางแพร่ไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เนื่องจากเทคโนโลยีในสหรัฐอเมริกาก้าวหน้า จึงสามารถให้การวินิจฉัยผู้ป่วยโรคเอดส์ได้ก่อนประเทศอื่น ๆ ทางติดต่อแพร่กระจายของเชื้อในอเมริกา ยุโรป และออสเตรเลีย ที่พบบ่อยเรียงตามลำดับคือ เพศสัมพันธ์ในบุรุษรักร่วมเพศ ผู้ฉีดยาเสพติดใช้เข็มร่วมกัน ผู้ที่ได้รับการให้เลือดหรือผลิตภัณฑ์จากเลือดที่มีเชื้อ ผู้ป่วยเด็กที่ได้รับการถ่ายเลือดหรือเกิดจากแม่ที่ติดเชื้อ และเพศสัมพันธ์ระหว่างหญิงชาย สำหรับในแอฟริกาทางติดต่อที่พบบ่อยที่สุด คือ ทางเพศสัมพันธ์ระหว่างหญิงและชาย โสเภณีในแอฟริกาจำนวนมากที่ตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสเอดส์ ในทวีบเอเซียพบการติดเชื้อไวรัสเอดส์น้อยกว่าทวีปอื่น ๆ เพราะยังอยู่ในระยะเริ่มต้นของการนำเข้าเชื้อจากต่างประเทศ
ปัญหาการติดเชื้อไวรัสเอดส์ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ ทั้งจำนวนผู้ป่วยและผู้ติดเชื้อไวรัสเอดส์ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเทคโนโลยีในประเทศไทย เจริญรวดเร็ว สามารถให้การตรวจและการวินิจฉัยยผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยได้ไม่แพ้ประเทศที่พัฒนาแล้ว เราจึงรู้ปัญหาของเราได้ทันเหตุการณ์
การเดินทางมาประเทศไทยของไวรัสเอดส์ |
ก่อนปี พ.ศ. 2532 เอดส์ยังไม่ใช่โรคของคนไทย เชื้อไวรัสเอดส์ได้รับการนำเข้าจากต่างประเทศโดยชาวต่างประเทศเป็นผู้นำมาให้ และคนไทยเดินทางไปรับมาจากต่างประเทศ
2527
ปี พ.ศ. 2527 ผู้ป่วยคนไทยรายแรกที่ติดเชื้อและป่วยจากสหรัฐอเมริกาเดินทางมาถึงประเทศไทยในเวลาใกล้เคียงกัน ผู้ป่วยต่างชาติที่มีประวัติติดาเสพติดและเป็นบุรุษรักร่วมเพศแสดงอาการป่วยเข้ารับการรักษาในประเทศ ผู้ป่วยต่างชาติรายนี้มีประวัติการแพร่เชื้อให้ชาวไทยจำนวนไม่น้อย
2528
ปี พ.ศ. 2528 ชายไทยรายที่ 2 ด้วยเป็นโรคเอดส์ เข้าใจว่าได้รับเชื้อในประเทศไทยจากคู่สัมพันธ์ชายต่างชาติ ผู้ป่วยรายนี้มีเพศสัมพันธ์ทั้งหญิงและชาย ภรรยาติดเชื้อไวรัสเอดส์จากผู้ป่วยและมีอาการ
ในปีนี้ พบผู้ป่วยเอดส์ชาวต่างชาติ 3 ราย ทั้ง 3 รายมีประวัติอยู่ในเมืองไทยนานนับปี และมีโอกาสแพร่เชื้อให้ชาวไทยจำนวนมากมายมานานปี นอกจากนี้ พบผู้ป่วยชาวไทยที่มีอาการของโรคเอดส์ระยะต้น 6 ราย และติดเชื้อแต่ยังไม่แสดงอาการ 5 ราย
2529
ปี พ.ศ. 2529 ไม่พบผู้ป่วยโรคเอดส์ระยะสุดท้าย แต่พบผู้ที่มีอาการระยะต้น 8 ราย และติดเชื้อโดยไม่แสดงอาการ 10 ราย
2530
ปี พ.ศ. 2530 พบผู้ป่วยเอดส์ชาวไทยเพิ่มขึ้นอีก 6 ราย เป็นบุรุษรักร่วมเพศ ผู้ป่วย 3 รายไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศ หนึ่งรายให้ประวัติว่าไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กับชาวต่างชาติเลย อีก 2 รายไม่แน่ว่าติดจากประเทศหรือต่างประเทศ และอีกรายหนึ่งติดจากต่างประเทศ
ผู้ติดเชื้อที่มีอาการระยะต้นพบเพิ่มอีก 13 คน และติดเชื้อแต่ยังไม่มีอาการอีก 174 คน
2531
ปี พ.ศ. 2531 ปัญหาโรคเอดส์ในประเทศไทยแสดงความรุนแรงเด่นชัด พบผู้ป่วยหญิง 1 ราย ที่ติดเชื้อโดยมีประวัติได้รับเลือดจากการผ่าตัดในต่างประเทศเมื่อ 2 ปีก่อนป่วยเป็นโรคเอดส์ และพบผู้ป่วยเด็กโรคเอดส์รายแรกที่เกิดจากแม่ ติดเชื้อโดยแม่ไม่มีอาการ นอกจากนี้ พบเด็กที่เกิดจากแม่อีกไม่ต่ำกว่า 3 คน นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ 2531 จำนวนผู้ฉีดยาเสพติดที่ติดเชื้อไวรัสเอดส์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ฉีดยาเสพติดเข้ารับการรักษา ซึ่งเดิมตรวจพบว่าติดเชื้อประมาณร้อยละ 1 เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงร้อยละ 40 ในปลายปี ในปีนี้ตรวจพบผู้ติดเชื้อไวรัสเอดส์ไม่ต่ำกว่า 3,000 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้ฉีดยาเสพติด ส่วนน้อยคือโสเภณีทั้งชายและหญิง คู่ของผู้ที่ติดเชื้อ ชายนักเที่ยวโสเภณี และผู้ได้รับเลือดที่มีเชื้อ ถ้าเรามีผู้ที่ตรวจพบว่าติดเชื้อแล้ว 3,000 คน ผู้ที่มีเชื้อแต่ไม่ได้ตรวจหรือยังอยู่ในระยะต้นยังตรวจไม่พบคงจะไม่น้อยกว่า 30,000 คน
คนเหล่านี้อยู่ที่ไหนกันบ้าง? และกำลังแพร่เชื้ออยู่หรือไม่? |
ผู้ที่มาตรวจแล้วพบว่าติดเชื้อจำนวนนับร้อยคน พบจากการตรวจเลือดที่มาจากการบริจาค กลุ่มนี้มีทั้งนักเรียน ทหาร พระ ฯลฯ เมื่อถามประวัติละเอียด พบประวัติที่เสี่ยงโรคคือ เคยฉีดยาเสพติด เคยมีพฤติกรรมรักร่วมเพศ ประวัติเหล่านี้จะได้รับเมื่อตรวจพบเลือดบวก แล้วขอให้มาตรวจซ้ำ แต่ที่น่าตกใจคือ หลายคนน่าจะติดจากโสเภณี เพราะไม่มีประวัติเสี่ยงอย่างอื่น
จำนวนโสเภณีที่ติดเชื้อในจังหวัดต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จาก 1 ใน 1,000 เป็น 1 ใน 100 หรือมากกว่า
การป้องกันและควบคุมโรคเอดส์ |
ถ้าดูจำนวนผู้ป่วยโรคเอดส์ที่รายงานในขณะนี้ มาตรการควบคุมโรคเอดส์ของประเทศไทย นับว่าได้ผล จำนวนผู้ป่วยยังคงพบเพียงปีละ 1-6 คน
แต่จำนวนที่แสดงนี้ อาจต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะในรายที่อาการไม่ชัดเจนแพทย์อาจวินิจฉัยว่าเป็นโรคอื่น ผู้ป่วยยาเสพติดจำนวนหนึ่ง จะตายด้วยโรคติดเชื้อหรืออุบัติเหตุก่อนที่จะแสดงอาการโรคเอดส์
อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้ป่วยโรคเอดส์จะทวีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละปี งบประมาณค่ารักษาพยาบาลจะต้องเพิ่มขึ้น มาตรการในการป้องกันโรคของสถานพยาบาลต่าง ๆ ที่เคยลดหย่อนตามสบาย จะต้องถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณา และปรับปรุงรับรองให้ปลอดภัย เพื่อรับรองว่า บุคลากรสาธารณสุขที่เป็นผู้ให้บริการ ผู้ป่วยที่มารับบริการ ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่มีโอกาสติดเชื้อไวรัสเอดส์และเชื้อก่อโรคตัวอื่น ๆ
เรื่องของคนเลือดบวก |
เวลานี้ขีดความสามารถของห้องปฏิบัติการในการตรวจเลือดดู การติดเชื้อไวรัสเอดส์เพิ่มขึ้นทั่วประเทศ หน่วยงานของรัฐและเอกชนที่ทำการตรวจดูการติดเชื้อมีไม่ต่ำกว่า 46 แห่ง เลือดที่ใช้ในโรงพยาบาลใหญ่ๆ เกือบทุกแห่งผ่านการตรวจมาก่อน ทำให้เชื่อมั่นได้ว่าปลอดภัยมากกว่าร้อยละ 95
ผลการตรวจนี้ ถ้าเป็นรายที่บวกชัดเจน จะบอกแม่นยำแน่นอน แต่รายที่เพิ่งติดเชื้อ อาจจะบอกได้ไม่ชัด หรือให้ผลลบปลอม* นอกจากนี้ผู้ที่ไม่เคยได้รับเชื้อไวรัสนี้ อาจตรวจเลือดพบผลบวกปลอม**ได้ เท่าที่ผ่านมา พบว่า การตรวจกรองในประชาชนที่ไม่มีประวัติเสี่ยง โรคทั่วไป พบผลบวกปลอมได้ราวหนึ่งในพัน จำเป็นต้องตรวจยืนยัน หรือติดตามตรวจซ้ำ
สำหรับผู้บริจาคเลือดทั่วไป พบเลือดบวกราวหนึ่งในสองพัน ส่วนมากยังเป็นผู้มีประวัติฉีดยาเสพติด โสเภณีชายเวลานี้เริ่มมีชายนักเที่ยวที่ให้ประวัติว่าเที่ยวโสเภณีหญิงอยู่ในกลุ่มนี้แล้วการที่ผู้ติดเชื้อได้มีโอกาสตรวจ และรู้ตัวว่าเลือดบวก นับเป็นโอกาสดี เพราะจะได้มีการปฏิบัติตนที่เหมาะสม ป้องกันไม่ให้โรครุนแรง ถ้าเริ่มมีอาการติดเชื้อไวรัสเอดส์ และได้รับยารักษาตั้งแต่ต้น ก็มีโอกาสที่จะมีชีวิตยืนยาวต่อไปได้ ในผู้ที่ติดเชื้อตรวจพบเลือดบวกนี้ ถ้าไม่มีพฤติกรรมส่งเสริม จะช่วยไม่ให้ต้องป่วยเป็นโรคในเวลา 6 เดือนถึง 5 ปีข้างหน้า
ข้อปฏิบัติตนของคนเลือดบวก |
1. เลิกพฤติกรรมที่จะมีโอกาสได้รับเชื้อเอดส์ซ้ำเข้าไปอีก ได้แก่
- งดการมีเพศสัมพันธ์ ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้พยายามอย่ามีเพศสัมพันธ์รุนแรงจนเกิดบาดแผล ต้องใส่ถุงยางทุกครั้ง ถุงยางควรใช้ชนิดที่มีคุณภาพดีและมียาฆ่าเชื้อกับน้ำยาหล่อลื่น
ถ้างดไม่ได้และไม่ป้องกันตัวเอง เมื่อได้รับเชื้อเอดส์หรือเชื้อกามโรคตัวอื่น ก็จะช่วยส่งเสริมกับเชื้อที่มีอยู่เดิมก่อโรคมีอาการรุนแรง
อย่าคิดว่าตนเองเลือดบวกแล้วไม่เป็นไร คนเลือดบวกที่มีร่างกายแข็งแรง จะมีชีวิตเป็นปกติได้นานปีถ้าเชื้อในตัวอยู่ในระยะสงบ แต่ถ้าไม่ระวังตัว กระตุ้นให้เชื้อที่มีอยู่หรือเชื้อที่ได้รับเข้าไปใหม่แสดงฤทธิ์ ก็จะกลายเป็นผู้ป่วยที่ต้องทนทุกข์ทรมานจนตาย
- ไม่ใช้เข็มฉีดยาหรือของมีคมหรือของใช้ส่วนตัว เช่น มีดโกน แปรงสีฟัน ผ้าขาวม้า เสื้อผ้าโดยเฉพาะชุดชั้นในร่วมกับผู้อื่น
2. คุมกำเนิด ถ้างดเพศสัมพันธ์ไม่ได้ ต้องคุมกำเนิดทั้งชาย และหญิง การใช้ถึงยางอนามัยเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่จะใช้วิธีอื่นร่วมด้วยก็ได้ ถ้าตั้งครรภ์ ต้องปรึกษาแพทย์โดยเร็วที่สุด หญิงเลือดบวกไม่ควรตั้งครรภ์ เพราะจะทำให้เชื้อที่สงบก่อโรคเกิดอาการรุนแรงถึงชีวิตได้ แม้ว่าตัวเองจะยังไม่มีอาการขณะตั้งครรภ์ แต่ก็มีโอกาสสูงขึ้นในเวลาต่อมา และลูกที่เกิดมา มีโอกาสเป็นโรคด้วย ถ้าเป็นภรรยาของผู้ที่รู้ตัวว่าเลือดบวก หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยงคือ ผู้ฉีดยาเสพติด ผู้มีเพศสัมพันธ์ทั้งกับชายและหญิง หรือชายนักเที่ยวโสเภณี ควรตรวจเลือดของคนเองและสามี
ถ้าเลือดบวกแล้ว ก็ต้องทำใจยอมรับความจริง ปฏิบัติตนให้ถูกต้อง ถ้าเลือดลบควรจะดีใจและงดพฤติกรรมเสี่ยงโรคทั้งหมดทั้ง 2 ฝ่าย และตรวจเลือดซ้ำอีก 6 เดือนต่อมา ถ้ายังได้ผลลบอีก ก็รับรองได้ว่าปลอดภัย ควรหยุดกการแสวงหาเชื้อ
3. สร้างเสริมสุขภาพของตนเอง
- อย่านอนดึก ควรนอนหลับพักผ่อนวันละ 6-8 ชั่วโมง
- อย่าเข้าไปในที่แออัด เพราะอาจติดโรคอื่น ๆ โดยเฉพาะโรคที่ติดต่อทางการหายใจ
- งดดื่มสุราและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ งดบุหรี่ และยาเสพติดอื่น ๆ
- ล้างมือบ่อย ๆ ก่อนกินอาหารทุกครั้งและหลังจากเข้าห้องน้ำ
- กินอาหารให้เป็นเวลา กินผักและผลไม้จำนวนมาก ๆ อาหารประเภทข้าว ถั่ว ไข่ ปลา และผักเป็นอาหารที่กินชีวิตประจำวันของคนไทย และเป็นอาหารที่เหมาะสม ไม่ควรกินอาหารรสจัด อาหารดิบ อาหารหมักดอง อาหารที่ค้างคืน ซึ่งอาจบูดเสีย
- ออกกำลังกายทุกวัน อาจเป็นการเดินเร็ว ๆ หรือวิ่งเหยาะ ๆ ไม่ควรออกกำลังกามากจนเหนื่อยล้า ไม่ควรเข้าแข่งขันกีฬาซึ่งต้องออกแรงหักโหม
- อ่านหนังสือ ฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ ติดตามข่าวสารต่าง ๆ
- หางานอดิเรกทำอย่าให้มีเวลาว่างมากเกินไป อาจทำการฝีมือ วาดรูป หรืองานอื่น ๆ ที่พอใจและเกิดความเพลิดเพลิน
4. งดบริจาคเลือด น้ำอสุจิที่ใช้ผสมเทียม หรืออวัยวะต่าง ๆ
5. หาเพื่อนหรือผู้ที่ไว้ใจได้ สำหรับปรึกษาหารือ ควรมีแพทย์ที่จะติดต่อได้เป็นประจำ ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยควรรีบพบแพทย์ ถ้าได้รับการรักษาจากแพทย์ที่ไม่รู้ประวัติ ขอให้บอกด้วยว่า ตนเองอาจมีเชื้อที่ติดต่อทางเลือดได้
การมีแพทย์ประจำจะช่วยในกรณีที่ต้องใช้ยาเฉพาะรักษาโรคเอดส์ และถ้ามียาใหม่ ๆ ที่ได้ผลจะได้รับการรักษาได้เร็วที่สุด
6. ถ้าทำได้ ควรมีการติดต่อรวมกลุ่มระหว่างพวกที่มีเลือดบวกด้วยกัน เพื่อจะได้ติดตามข้อมูลต่าง ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ และให้คำปรึกษาแนะนำช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
7. ใช้ชีวิตในครอบครัวตามปกติ กินอาหารร่วมกับผู้อื่นได้แต่ควรใช้ช้อนกลาง ถ้วยชามที่ใช้ไม่จำเป็นต้องแยก แต่ควรแยกซักผ้าเช็ดตัว ผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม เครื่องชั้นใน เสื้อผ้าหรือของใช้ที่เปรอะเปื้อนเลือด หรือสิ่งปฏิกูลขับถ่ายต่าง ๆ ควรแช่ในน้ำยาฟอกผ้าขาว ที่เจือจางราง 30 เท่า ก่อนซักสักครึ่งชั่วโมง เที่ยวเล่น สนทนากับเพื่อนและบุคคลในครอบครัว ในที่ทำงานได้ตามอัธยาศัย
8. ถ้าไม่จำเป็นไม่ต้องบอกให้ใครรู้ว่ามีเลือดเอดส์บวก บอกเฉพาะผู้ที่ไว้ใจได้ว่ามีสติไม่ตื่นตกใจ และจะช่วยเหลือได้ ถ้ามีผู้ติดเชื้อเอดส์เพิ่มขึ้นมากเช่นนี้ ไม่ช้าคนไทยจะชินไปเอง ถึงเวลานั้นคนเลือดเอดส์บวก และคนเป็นพาหะไวรัสตับอักเสบ บี จะได้รับการปฏิบัติที่เหมือนกัน
ความปลอดภัยจากภัยเอดส์ |
ในปี พ.ศ. 2532 นี้ คนไทยที่ไม่มีพฤติกรรมในการแสวงหาเชื้อ หรือไม่ได้เป็นคู่ของผู้เสี่ยงโรค นับได้ว่า ยังปลอดภัยจากภัยเอดส์ ถ้ามีพฤติกรรมที่แม้จะเคยคิดว่าปกติ แต่มีโอกาสเสี่ยง เช่น สำส่อนทางเพศ ไม่ว่าจะเป็นโสเภณี หรือผู้มีรสนิยมเปลี่ยนคู่ ต้องเลิกให้เด็ดขาด
ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์กับโสเภณี เด็ก เพราะจะมีโอกาสเกิดบาดแผลได้สูงทั้งสองฝ่ายเป็นช่องทางให้ติดเชื้อได้
การติดเชื้อเอดส์พบชุกชุมเพิ่มขึ้นในโสเภณีและชายนักเที่ยวเช่นเดียวกับที่พบในกลุ่มผู้ฉีดยาเสพติดในปีที่ผ่านมา ถ้าปีนี้เราควบคุมไม่ได้ อนาคตก็คือ การติดเชื้อเอดส์ในเด็ก และเมื่อนั้นประเทศไทยจะเป็นแดนระบาดของเชื้อเอดส์เหมือนที่มีปัญหาไวรัสตับอักเสบ บี เวลานี้
ขออวยพรให้ทุกท่านมีกำลังใจที่มั่นคง ในการต่อสู้กับสิ่งยั่วยุกิเลสทั้งหลายที่จะชักจูงไปสู่ภัยเอดส์
*คนที่มีเชื้อเอดส์ในร่างกายแต่ตรวจเลือดแล้วพบว่าไม่มีเชื้อ กล่าวคือเป็นเอดส์แต่ตรวจไม่พบว่าเป็นโรค
**คนที่ไม่มีเชื้อเอดส์ในร่างกายแต่ตรวจโรคแล้วพบว่าไม่มีเชื้อ กล่าวคือไม่ได้เป็นเอดส์แต่ถูกตรวจว่าเป็นโรค
ตารางที่1 จำนวนผู้ป่วยโรคเอดส์ทั่วโลก (รายงานถึงวันที่ 15 มกราคม 2532 )
โรงพยาบาลของเราทั้งหมดมีขีดความสามารถที่จะ
ตรวจค้นหาไวรัสเอดส์ได้หมดแล้ว
น.พ. ธีระ รวมสูตร
รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข
“ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขจะผสมผสานโครงการควบคุมโรคเอดส์เข้าไปในระบบบริการสาธารณสุขที่มีอยู่ทั่วประเทศ โดยโรงพยาบาลของเราทั้งหมด มีขีดความสามารถที่จะตรวจค้นหาโรคเอดส์ได้หมดแล้ว ก็คิดว่าปีนี้จะเป็นปีที่เราสามารถค้นหาผู้ป่วยที่ติดเชื้อในกลุ่มเสี่ยงทั้งหมดได้
ที่สำคัญต้องให้การศึกษากับประชาชนว่า โรคเอดส์ไม่ได้ติดทุกราย ติดเฉพาะทางการร่วมเพศ ร่วมเลือด ร่วมเข็ม ไม่ได้ติดทางลมหายใจหรือติดทางสัมผัสผิวหนัง ถ้าประชาชนรู้ความจริงว่า ถ้าไม่ไปหาโรค พูดง่าย ๆ อยู่ ๆ ไม่ไปเสี่ยงหาโรค (คือ ไม่ไปสำส่อนทางเพศ) ก็ไม่เป็นเท่านั้นเอง ปัญหาคือไม่รู้ สามีไปเที่ยวไปติดมาก็ไปติดภรรยาโดยไม่รู้ตัว แบบนี้อันตราย ไม่ควรสำส่อน ควรให้ประชาชนเข้าใจและเปลี่ยนพฤติกรรม”
ประชาชนต้องมีความรับผิดชอบที่จะป้องกันตนเอง
โดยไม่สำส่อนทางเพศ ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
น.พ. เทพนม เมืองแมน
คณบดีคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ในเมืองไทยขณะนี้ผู้ที่ติดเชื้อโรค แต่ไม่ใช่มีเฉพาะในกรุงเทพฯ ในจังหวัดต่าง ๆ ก็มีด้วย และถึงแม้ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ จะเป็นผู้ติดยาเสพติดคือ ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน แต่ว่าหญิงบริการหรือโสเภณี หรือกลุ่มร่วมทั้ง 2 เพศ ก็มีจำนวนการติดเชื้อเพิ่มขึ้นไม่น้อย เพราะในระยะ 12 เดือนที่ผ่านมา ผู้ที่ติดเชื้อจากเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้นประมาณ 2 เท่า นี่เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง
ผู้ที่ติดเชื้อเหล่านี้ส่วนหนึ่งก็จะป่วย เนื่องจากไม่มียารักษาหรือยาที่มีรักษาก็ช่วยให้มีชีวิตยืนยาวแค่ 3-4 เดือน แต่ค่ายารักษาแพงมากเม็ดละ 80 บาท ต้องกินวันละ 10 เม็ด ก็ตกวันละ 800 บาท เดือนละ 24,000 บาท นี่กินยาอย่างเดียว ถ้าติดเชื้ออื่นต้องกินยาอื่นอีก ก็หลายหมื่น คนธรรมดาสู้ไม่ไหว แล้วเสียเงิน แล้วไม่ใช่หายนะครับ ตายอย่างเดียว
วิธีที่ดีที่สุดคือ ประชาชนต้องมีความรับผิดชอบที่จะป้องกันตัวเองไม่สำส่อนทางเพศ ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น 2 อย่างนี้สำคัญที่สุด ไม่งั้นติดเชื้อขึ้นมาไม่รู้จะช่วยอย่างไร ตัวเลขของสหรัฐฯ ร้อยละ 80 ของคนที่เป็นโรคนี้ตายหมดภายใน 8 ปี”
⇒ โรคเอดส์ คืออะไร |
- อ่าน 5,063 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้