• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

กินอย่างไรไม่เป็นมะเร็ง

ในปัจจุบัน ได้มีการศึกษาค้นคว้าจนเป็นที่เชื่อกันแล้วว่า อาหารการกินมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคมะเร็งบางอย่างแน่นอน

ทางสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติของสหรัฐอเมริกา ได้พิมพ์เอกสารรายงานเกี่ยวกับความรู้ในเรื่องการกินที่ถูกต้อง เพื่อหลีกเลี่ยงโรคร้ายนี้ให้มากที่สุด ซึ่งมีความหนาถึง 500 หน้า
เรื่องราวต่อไปนี้ คือสิ่งที่ผู้เขียนเก็บรวบรวมจากเอกสารดังกล่าวอย่างย่อๆ

ลดการกินอาหารไขมันลงเสียบ้าง
ข้อเสนอแนะข้อแรกของรายงานฉบับนี้ คือ การลดปริมาณอาหารไขมันลงร้อยละ 25 ทั้งกรดไขมันชนิดอิ่มตัวและชนิดไม่อิ่มตัว กรดไขมนชนิดอิ่มตัวนั้นพบได้ในอาหารพวกเนื้อ นม ไข่ ส่วนชนิดไม่อิ่มตัวพบในน้ำมันพืชและน้ำมันหมูที่ได้รับการเลี้ยงด้วยอาหารมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง เช่นรำข้าว

ทั้งนี้เพราะจากการทดลองในห้องปฏิบัติการ (ที่ใช้สัตว์เลือดอุ่น เช่น หนู) พบว่าปริมาณไขมันที่มีในอาหารนั้นมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการเกิดมะเร็งทรวงอก, ลำไส้ใหญ่ และต่อมลูกหมาก

เหตุผลของการที่ไขมันไปเพิ่มอัตราการเป็นมะเร็งตามที่กล่าวนั้นยังไม่ได้รับการพิสูจน์ให้แน่ชัด แต่ถ้าเราจะลองนำข้อมูลที่ได้จากการทดลองในห้องปฏิบัติการมาอธิบายพบว่า ในมนุษย์หรือสัตว์ทดลองที่กินอาหารที่มีไขมันสูง จะมีปริมาณการขับสารพวก "สเตียรอยด์" ออกมามากกว่าคนที่กินไขมันต่ำ (สารพวกสเตียรอยด์นี้หลายตัวเป็นสารจำเป็นที่ทำหน้าที่เป็นฮอร์โมนในกระบวนการดำรงอยู่ของร่างกาย) และมีการพบว่าในคนไข้ที่เป็นโรคมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่และต่อมหมวกไต มีการขับปริมาณสารพวกสเตียรอยด์ออกมาในอุจจาระสูงเช่นกัน

ด้วยเหตุจึงมีผู้พยายามตั้งสมมติฐานเพื่อหาความสัมพันธ์ของสารสเตียรอยด์กับการเกิดมะเร็งพบว่าสารพวกนี้ตามปกติจะถูกเปลี่ยนไปเป็นสารเคมีอีกกลุ่มหนึ่ง คือ เกลือในน้ำดี และสารเกลือในน้ำดีนี้เมื่อยู่ในลำไส้ใหญ่อาจจะถูกแบคทีเรียบางชนิดเปลี่ยนไปเป็นสารที่มีฤทธิ์กระตุ้นให้เกิดการเป็นมะเร็งในลำไส้ใหญ่ หรือส่วนอื่นของร่างกาย

ดังนั้นในคนที่ชอบกินอาหารที่มีไขมันมากๆ จะมีสารพวกเกลือของน้ำดีสูงขึ้น ส่งผลให้มีโอกาสเกิดมะเร็งในลำไส้สูงขึ้นด้วย

แต่ทั้งนี้เราพึงเข้าใจว่า ปกติแล้วร่างกายของเราก็มีสารพวกเกลือน้ำดีและแบคทีเรียที่กล่าวถึงอยู่แล้วตามธรรมชาติ แต่มนุษย์ส่วนมากก็มิได้เป็นมะเร็งที่ลำไส้กันทุกคน เพราะเราจะต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น ระบบภูมิต้านทาน ซึ่งจะกล่าวถึงในภายหลัง

นอกจากนี้หากจะลองพิจารณาให้ลึกลงไปถึงชนิดของไขมันพวกที่เรียกว่า ไขมันไม่อิ่มตัวซึ่งผู้อ่านอาจจะเคยได้ยินมานานพอสมควรว่า การกินไขมันไม่อิ่มตัวนั้นสามารถลดอัตราการมีสาร "โคเลสเตอรอล" ซึ่งเป็นไขมันที่ทำให้เกิดโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตันนั้น ข้อสรุปนี้ยังไม่ชัดเจน แต่จากข้อมูลใหม่ที่ได้มีการรวบรวมพบว่า ในทางตรงกันข้าม การกินไขมันไม่อิ่มตัวมากเกินไปนั้นอาจจะมีข้อเสียได้

เคยมีผู้ให้หนูทดลองได้กินไขมันไม่อิ่มตัวมากๆ พบว่าหนูกลุ่มนี้มีโอกาสเป็นมะเร็งสูงกว่าหนูกลุ่มที่ได้อาหารปกติ

มีการตั้งสมมติฐานว่าอาจจะเป็นเพราะคุณสมบัติทางเคมีของไขมันไม่อิ่มตัวนั่นเอง ไขมันชนิดนี้จะเกิดการแตกตัวออกเป็นสารขนาดเล็กลงโดยปฏิกิริยาทางเคมีที่เกิดขึ้นจากออกซิเจนในอากาศ สารใหม่ที่เกิดขึ้นนี้บางชนิดมีขนาดเล็ก จึงเป็นสารระเหยได้ เป็นตัวทำให้เกิดกลิ่นของไขมัน ซึ่งเป็นกระบวนการที่เราพบอยู่ทุกวัน เช่น น้ำมันพืช น้ำมันหมู ซึ่งมีสารไขมันไม่อิ่มตัวสูง ถ้าเก็บไว้ที่อุณหภูมิสูงจะเหม็นหืนง่าย

นอกจากนี้สารที่เกิดจากกระบวนการเหม็นหืนบางชนิดก็เป็นสารที่เราเรียกว่า ฟรีเรดดิเคิล ซึ่งเป็นสารชนิดที่มีความไงต่อการรวมตัวกับสารอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยพันธุกรรมที่เรียกว่า ดีเอนเอ การที่หน่วยพันธุกรรมถูกเปลี่ยนแปลงไปเพราะมีสารอื่นมารวมตัวนั้น เป็นโอกาสหนึ่งที่จะทำให้เกิดเป็นมะเร็งขึ้นได้ เพราะสารที่เข้าไปเชื่อมต่อกับหน่วยพันธุกรรมอาจจะไปรบกวนการทำงานในด้านการถ่ายทอดข้อมูลทางกรรมพันธุ์ในระยะที่เซลล์ของร่างกายกำลังแบ่งตัวเพิ่มปริมาณ ซึ่งการแบ่งเซลล์ในร่างการนี้เกิดขึ้นตลอดเวลาเพื่อทดแทนเซลล์ที่ตายไปทุกๆวัน

ดังนั้น การที่ร่างกายรับอาหารที่มีไขมันที่มีความหัน ก็มีแนวโน้มว่าจะมีสารเคมีที่ไวต่อการรวมตัวกับสารอื่นเข้าไป โอกาสที่จะมีการเริ่มต้นของการเกิดเซลล์มะเร็งก็อาจจะเกิดขึ้นได้ทันที

ด้วยเหตุนี้ ถ้าเราสามารถลดปริมาณการบริโภคไขมันทั้งอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวลงได้ โอกาสที่จะเกิดมะเร็งตามส่วนต่างๆ ของร่างกายก็น่าจะลดลงได้

ที่กล่าวมานี้เป็นการนำเอาความรู้ทางทฤษฎีมาใช้อธิบายว่า ทำไมทางสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติของสหรัฐฯ จึงแนะนำชาวอเมริกันให้ลดการกกินอาหารพวกไขมันลง

ในความเห็นของนักโภชนาการไทยนั้น ข้อเสนอแนะนี้ได้จัดไว้เหมาะกับชาวตะวันตกที่กินอาหารที่มีไขมันค่อนข้างสูงในแต่ละวัน (ซึ่งต่างไปจากชาวเอเซีย) การที่จะตัดปริมาณไขมันในอาหารลงบ้างก็จะไม่กระทบกระเทือนต่อภาวะโภชนาการแต่อย่างใด

ส่วนในคนไทยนั้นคงจะมีเฉพาะผู้ที่มีฐานะค่อนข้างดี ซึ่งกินอาหารอย่างสมบูรณ์ เทียบได้กับขาวตะวันตก ซึ่งก็อยู่ในเครือข่ายที่ควรตัดปริมาณไขมันในอาหารลง

ส่วนผู้ที่มีฐานะปานกลางหรือยากจน หรือกินอาหารไขมันต่ำนั้นการจะไปลดไขมันลงอาจจะมีผลเสียมากกว่าผลดี เพราะอาจจะส่งผลถึงการขาดวิตามินชนิดที่ละลายไขมัน เช่น วิตามินเอ, วิตามินดี, วิตามินอี และวิตามินเค ทั้งนี้เพราะไขมันที่เรากินเข้าไปนั้น นอกจากจะนำไปใช้เป็นพลังงานสะสมเป็นพลังงานสำรองแล้ว หน้าที่ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ เป็นตัวละลาย ช่วยให้ลำไส้ดูดซึมวิตามินดังกล่าวได้

ดังนั้นสำหรับชาวไทย ในการจะปฏิบัติตามข้อแนะนำนี้ อาจจะต้องพิจารณาถึงความแตกต่างดังกล่าวนี้ด้วย

ลดการกินอาหารรมควันและของหมักดอง
ข้อแนะนำที่สองคือ ให้ลดการกกินอาหารพวกรมควันหรือหมักดอก เช่น พวกไส้กรอก, หมูเบคอน หรือ ของดองเค็ม เพราะมีหลักฐานว่าในประเทศญี่ปุ่น จีน และไอซแลนด์ ซึ่งมีผู้คนเขานิยมกินอาหารที่กล่าวถึงนี้ค่อนข้างสูง และคนของเขาก็เป็นมะเร็งของกระเพาะอาหารและทางเดินอาหารส่วนบนค่อนข้างมาก นอกจากนี้ยังพบว่าอาหารเหล่านี้มีสารจำพวกไนโตรซามีน (ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาของดินประสิว กับสารโปรตีนในเนื้อสัตว์พบในอาหารจำพวกเนื้อสัตว์หมักกับดินประสิว) และพวกโพลีซัยคลิกอะโรเมติคไฮโดรคาร์บอน (ซึ่งเกิดจากการที่ไขมันในอาหารได้รับความร้อนสูงมากๆ แล้วเกิดการรวมตัวเนื่องจากการแปรเปลี่ยนทางเคมี)

สารทั้ง 2 ประเภทที่กล่าวนี้บางชนิดได้รับการยืนยันว่าทำให้เกิดมะเร็งในสัตว์ทดลองได้ จึงมีแง่คิดว่าจำเป็นด้วยหรือที่เราจะต้องทำอาหารให้สุกมากๆ ถึงขนาดไหม้เกรียม ความจริงแล้วการทำอาหารให้สุกเพียงพอดีจะทำให้อาหารนั้นมีรสอร่อย และยังได้สารอาหารพวกวิตามินครบถ้วน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ อาหารที่เรากินอยู่ทุกวันคือ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อสด ซึ่งปกติแล้วเนื้อที่นำมาลวกจะต้องพอสุกจึงจะมีรสชาติอร่อย เพราะถ้าทำให้สุกนานเกินไปก็จะเหนียวและไม่อร่อยเท่าที่ควร

ในกรณีของอาหารที่ทอดและย่างจริงอยู่ที่ว่าความไหม้เกรียมทำให้อาหารนั้นอร่อยขึ้น แต่ก็เป็นที่รายดีว่าเป็นการทำลายสารที่มีคุณค่า คือพวกวิตามิน ซึ่งเป็นสาระสำคัญต่อการดำรงชีวิตมาก ข้อดีของอาหารทอดไหม้เกรียมคือ ทำให้กินข้าวได้มากขึ้น

เมื่อลองศึกษาพิจารณาดูการกินอาหารของผู้ที่ชอบอาหารไหม้เกรียมจะเห็นว่า ผู้กินจะได้สารอาหรพวกแป้งสูงมาก ส่วนโปรตีนที่ได้อาจจะสูงแต่ปริมาณ ส่วนที่มีคุณค่าจริงๆ อาจจะน้อยลง เพราระเคยมีผู้ค้นพบว่าสารโครงสร้างของโปรตีนคือ กรดอะมิโนบางชนิด เมื่อถูกความร้อนมากๆ ก็อาจจะเปลี่ยนรูปไปเป็นสารมีพิษที่ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ได้

ในกรณีของไขมันก็เช่นกัน กล่าวคือ ปริมาณไขมันอาจจะลดลงเนื่องจากการระเหย เพราะได้รับความร้อนสูงและอาจจะเกิดสารมีพิษบางชนิดด้วย

กระบวนการเกิดสารพิษจากไขมันนั้นพอจะอธิบายให้เห็นง่ายๆ คือ เมื่อไขมันในเนื้อสัตว์ได้รับความร้อนก็จะหลอมเหลวหยดลงไปบนก้อนถ่านที่ถ้าก้อนถ่านนั้นร้อนแดง (ความร้อนประมาณ 400-500 องศาเซลเซียส) ที่สภาวะเช่นนี้ ไขมันที่หยดลงไปจะมีการเปลี่ยนแปลงสภาพทางเคมีโดยการรวมตัวกันเองจากลักษณะโมเลกุลที่เป็นสายยาวมาเป็นลักษณะวงแหวนต่อกัน สารกลุ่มใหม่นี้เรียกว่า โพลีซัยคลิก อะโรเมติคไฮโดรคาร์บอน สารพวกนี้บางตัวเป็นสารที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าทำให้เกิดมะเร็งอย่างแรงในสัตว์ทดลอง ตัวอย่างสารที่ควรจะทราบขื่อคือ เบนโซ (เอ)ไพรีน

ดวงมะเร็งขึ้นกับระบบภูมิต้านทานของร่างกาย
ความจริงแล้วสารพิษพวกโพลีซัยคลิก อะโรเมติกไฮโดรคาร์บอนนี้มนุษย์เราได้รับอยู่ทุกวันในปริมาณต่างๆกัน ทั้งจากอาหารโดยเฉพาะผู้ที่นิยมกินอาหารย่าง รมควัน ทอดกรอบ และจากการหายใจเอาควันเสียของรถเมล์เข้าไป แต่เหตุที่คนส่วนมากไม่ได้กลายเป็นมะเร็งทุกคนก็เพราะปัจจัยหลายประการ ปัจจัยหนึ่งที่จะกล่าวถึงนี้ก็คือ ระบบภูมิต้านทางของร่างกาย

แนวความคิดที่ว่าระบบภูมิต้านทานช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งนั้นกำลังเป็นที่สนใจของนักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานทางด้านเกี่ยวกับการเกิดโรคมะเร็ง เพราะได้มีการทดลองในสัตว์ทดลองพบว่า ในการฉีดสารเคมีที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งเข้าไปในสัตว์ทดลองที่มีระบบภูมิต้านทานปกติกลุ่มหนึ่ง และฉีดเข้าไปในสัตว์ทดลองที่ระบบภูมิต้านทานถูกทำลายอีกกลุ่มหึ่ง พบว่าสัตว์ทดลองกลุ่มที่ภูมิต้านทานถูกทำลายจะเป็นมะเร็งมากกว่ากลุ่มที่มีระบบภูมิต้านทานปกติอย่างชัดเจน

นอกจากนี้ยังมีการทดลองในสัตว์ใหญ่ เช่น วัว พบว่า การชักนำให้ระบบภูมิต้านทานสูงขึ้นนั้นจะทำให้ร่างกายสู้กับโรมะเร็งได้ ในการทดลองนั้นทำโดยการฉีดสารที่ทำให้วัวเป็นมะเร็งที่ตา จากนั้นผู้ทดลองก็ฉีดสารเคมีสกัดจากเชื้อแบคทีเรีย ที่เรียกว่า บีซีจี ซึ่งทางการแพทย์ปัจจุบันใช้ฉีดเข้าร่างกายมนุษย์ เพื่อให้เกิดภูมิต้านทานโรควัณโรค สารบีซีจี นี้เมื่อถูกฉีดเข้าร่างกายก็จะเข้าไปกระตุ้นระบบภูมิต้านทานของวัวให้ทำงานมากขึ้น ผลการทดลองพบว่ามะเร็งที่ตาของวัวได้เริ่มหายจนตาเป็นปกติ การทดลองนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ระบบภูมิต้านทานของร่างกายนั้นเป็นวิธีกำจัดมะเร็งที่ได้ผล

จะเห็นว่าถ้าร่างกายเรามีระบบภูมิต้านทานอ่อนลง โอกาสที่เราจะเป็นมะเร็งจะเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ซึ่งอาจจะเป็นคำอธิบายได้ว่าทำไมจำนวนผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งจึงมักจะเป็นในผู้สูงอายุ ซึ่งระบบภูมิต้านทานเริ่มจะอ่อนแอลง ส่วนในคนหนุ่มสาวหรือเด็กที่เป็นมะเร็งนั้นอาจจะเกิดขึ้นได้หลายกรณี เช่น เพราะระบบภูมิต้านทานเริ่มผิดปกติแต่กำเนิด หรือว่าระบบภูมิต้านทานถูกทำลายให้อ่อนแอลงในภายหลัง

โปรตีน-สิ่งเสริมสร้างภูมิต้านทาน

สิ่งสำคัญอีกสาเหตุหนึ่งที่น่าสนใจคือ ระบบการกินอยู่ของเรา ประเทศเรากำลังผจญอยู่กับปัญหาที่กลุ่มชนบางกลุ่ม เช่น ในคนที่มีรายได้ต่ำ มีการกินที่ไม่สมบูรณ์พอ บ้างก็ขาดทั้งโปรตีนและสารให้พลังงาน

ในร่างกายของเรานั้นระบบภูมิต้านทานจะทำงานได้ก็ต่อเมื่อมีสารโปรตีนที่จำเป็นมากพอ โดยจะเปรียบเทียบให้เห็นง่ายๆว่า โปรตีนนั้นจะเปรียบเป็นดินประสิวที่ใช้สร้างลูกกระสุนปืน และระบบภูมิต้านทานเปรียบเสมือนปืนที่ใช้ยิงข้าศึก

ถ้าขาดโปรตีน ระบบภูมิต้านทานก็จะมีประสิทธิภาพไม่ดีพอ เปรียบเหมือนปืนที่มีลูกกระสุนไม่ดี ดังนั้นทั้งปริมาณและคุณภาพของโปรตีนที่เรากินเข้าไปก็จะเป็นสิ่งสำคัญต่อระบบภูมิต้านทานมาก

โปรตีนที่ดีจะมาจากเนื้อสัตว์
เช่น เนื้อปลา เนื้อวัว เนื้อควาย เนื้อไก่ เป็นต้น โปรตีนที่มาจากพืชซึ่งมีราคาถูกว่าเนื้อสัตว์นั้น มักจะมีคุณภาพไม่ครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ เช่น ขาดกรดอะมิโนบางชนิดซึ่งจำเป็นในการสร้างโปรตีนชนิดใหม่ในร่างกาย ดังนั้นการกินโปรตีนชนิดใหม่ในร่างกาย ดังนั้นการกินโปรตีนจากพืชนั้นจะต้องมีความรู้พอควรว่าจะต้องกินพืชอย่างไรบ้าง เพื่อจะให้ผลรวมของโปรตีนเป็นโปรตีนที่มีคุณค่าของกรดอะมิโนครบถ้วน

ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น โปรตีนจากถั่วเหลือมักจะขาดกรดอะมิโนพวกที่ชื่อ เมไธโอนีน ด้วยเหตุนี้ในการที่จะอาศัยโปรตีนจากถั่วเหลืองเป็นอาหารหลัก ก็จะต้องกินโปรตีนจากพืชอีกชนิดหนึ่งคือ งา ซึ่งเป็นพืชที่มีกรดอะมิโนเมไธโอนีนสูง ส่วนผสมของโปรตีนจากถั่วเหลืองและงาได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีคุณค่าสูงเทียบเท่ากับเนื้อสัตว์บางชนิด ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อกับฝ่ายประชาสัมพันธ์ของสถาบันวิจัยโภชนาการมหาวิทยาลัยมหิดลได้

กินอย่างไรจึงจะ ปลอดภัย จากสารพิษ มะเร็ง
ตามที่ได้ยกตัวอย่างของการกินอาหารชนิดปิ้ง ทอดเกรียม รมควัน เหล่านี้มิได้มีความประสงค์จะทำให้ผู้อ่านแตกตื่นเลิกกินอาหารชนิดนี้ไปโดยทันทีทันใด แต่ผู้เขียนมุ่งจะเสนอข้อคิดเห็นในการปรับปรุงนิสัยการกินอาหารในบ้านเราทุกวันนี้

เราต้องยอมรับว่าอาหารที่เรากินนั้น ถ้านำมาวิเคราะห์แล้วมักจะพบเสมอว่าสารพิษปะปนอยู่ ทั้งชนิดเกิดเองในวัตถุดิบที่นำมาประกอบอาหาร หรือเกิดขึ้นระหว่างปรุงอาหารหรือเกิดขึ้นหลังการปรุงอาหาร สิ่งเหล่านี้โดยทั่วไปจะก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย เมื่อมันสะสมอยู่ในร่างกายในปริมาณที่เกินความสามารถของร่างกายที่จะทนได้หรือขับออกได้ทัน ปกติร่างกายของเรามี ตับ ไต และปอดเป็นอวัยวะที่สำคัญมากในการขับสารพิษออกจากร่างกาย ในคนที่มีสุขภาพแข็งแรงอวัยวะเหล่านี้จะทำงานได้เต็มที่ สิ่งมีพิษก็จะไม่สะสมหรือแม้ในกรณีที่สิ่งมีพิษเหล่านี้ทำให้เซลล์เนื้อเยื่อบางส่วนของร่างกายเป็นมะเร็ง คนที่มีระบบภูมิต้านทานดีก็จะมีการกำจัดเซลล์เนื้อร้ายนี้ออกจากร่างกายทันที

ดังนั้นสิ่งที่ผู้เขียนขอแนะนำคือควรพยายามหมุนเวียนวิธีการประกอบอาหาร เช่น ควรจะมีการต้มบ้าง ปิ้งบ้าง ตุ๋นบ้าง สลับกันไป แทนที่จะทอดกรอบเพียงอย่างเดียว การกระทำแบบนี้จะเปิดโอกาสให้ร่างกายเราได้มีเวลาขับสารทำลายสารพิษที่เรากินเข้าไป

กินผัก ผลไม้ ช่วยป้องกันมะเร็ง

ข้อแนะนำที่สามก็คือ การเพิ่มปริมาณการกินผักและผลไม้ที่มีปริมาณวิตามินซีสูง เช่น ส้ม ผักคะน้า มะเขือเทศ และผักหรือผลไม้ที่มีสารแคโรตีน ซึ่งเป็นสารเริ่มต้นของวิตามินเอง (พบได้ในมะละกอ หัวผักกาดแดง ผักใบเหลือง และเขียวอื่นๆ) โดยมีความเชื่อว่าวิตามินทั้งสองชนิดนี้สามารถหยุดยั้งการทำงานของสารพิษบางชนิดในกระบวนการก่อให้เกิดมะเร็ง ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม

โดยทางตรง คือ มีความเชื่อว่าสารพวกวิตามินเอ (และอาจจะรวมไปถึงสารเคมีที่ใช้กันความหืนของอาหารบางชนิด) สามารถจับตัวกับสารพิษซึ่งเป็นการทำลายความเป็นพิษโดยตรงไม่ให้สารนั้นๆ สามารถไปจับกับหน่วยพันธุกรรมคือ ดีเอนเอ ในแต่ละเซลล์ได้ หลักการนี้มีการยืนยันทั้งในการศึกษาในหลอดทดลองและจากการวิเคราะห์ผลของการศึกษาในสัตว์ทดลอง

ส่วนการป้องกันโดยทางอ้อมนั้นเชื่อกันว่า สารพวกวิตามินเอและซี (ซึ่งอาจจะรวมถึงวิตามินอีด้วย) นั้น สามารถไปช่วยทำให้อายุการทำงานของระบบทำงายสารพิษของร่างกายเราซึ่งอยู่ในเซลล์ต่างๆ โดยเฉพาะเซลล์ตับ ไต ปอด ทำงานได้นานขึ้นหรือดีขึ้น ประสิทธิภาพการทำลายล้างสารพิษที่เพิ่มขึ้นก็เป็นการลดอัตราการเป็นมะเร็งของอวัยวะต่างๆลง

การที่สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติของสหรัฐอเมริกาอ้างถึงวิตามินเอ และซีนั้น โดยไม่ได้กล่าวถึงวิตามินอื่นๆ เช่น วิตามินบีรวม (ไนอาซีนและไรโบเฟลวิน) วิตามินเค ฯลฯ นั้น มิได้หมายความว่าวิตามินเหล่านี้ไม่ได้มีบทบาทในการป้องกันการเป็นมะเร็ง วิตามินเหล่านี้มีบทบาทสำคัญมากในการทำให้เซลล์ของร่างกายแข็งแรง

ตามหลักการที่ผู้เขียนเชื่อก็คือ ถ้าร่างกายแข็งแรงแล้วสารมีพิษก็จะทำอันตรายร่างกายไม่ได้เลย โอกาสที่สารมีพิษ (พวกสารก่อมะเร็ง) จะทำอันตรายร่างกายเรานั้นจะมีลักษณะเช่นเดียวกับการติดเชื้อหวัดคือ เมื่อใดที่ร่างกายอ่อนแอ เราก็เป็นหวัดได้ง่าย แต่เมื่อใดที่เราแข็งแรง เชื้อหวัดก็ทำอะไรเราไม่ได้ ซึ่งหลักการนี้สามารถนำมาประยุกต์ได้กับการเป็นมะเร็งดังนี้จึงขอสรุปในข้อวิตามินนี้ว่าควรหาทางกินอาหารที่มีวิตามินครบถ้วนเพื่อสุขอนามัยที่ดี

เอกลักษณ์แห่งชายชาตรี-คือพันธมิตรของโรคมะเร็ง
ปัญหาที่น่าจะมองอีกแง่หนึ่งคือ ปัญหาที่เกิดจากความเชื่อทางสังคมโดยเฉพาะสังคมของชาวไทยที่มักจะมีความรู้สึกเป็นชายชาตรีได้ด้วยการดื่มสุรา และสูบบุหรี่

เด็กวัยรุ่นของเราได้รับการมอมเมาให้มีความเชื่อเหล่านี้ ทั้งจากสื่อมวลชน เช่น วิทยุ โทรทัศน์ และภาพยนตร์ หรือจากพ่อแม่ของเด็กเอง เพราะในครอบครัวที่มีพ่อหรือแม่สูบบุหรี่ ดื่มสุรา ลูกๆ มักเอาอย่างด้วย

มีการศึกษาพบว่าสารในสุราที่สำคัญคือ แอลกอฮอล์ นั้น มีผลทางอ้อมกับระบบภูมิต้านทานของร่างกายโดยไปทำลายเซลล์ของตับ

เซลล์ของตับนั้นเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่สำคัญในการสร้างโปรตีนบางชนิดที่สำคัญต่อระบบภูมิต้านทาน
ดังนั้น ถ้าดื่มสุรามากขึ้น ปริมาณเซลล์ก็จะถูกทำลายลงจนระบบภูมิต้านทานขาดสารโปรตีนที่สำคัญ ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอได้
บุหรี่ที่เราเสพเอาควันเข้าไปนั้นพบว่า ในควันนั้นมีสารบางชนิดที่เป็นตัวกระตุ้นการเกิดมะเร็งปอดและส่วนอื่นของร่างกาย ดังนั้น ในผู้ที่ทั้งดื่มสุราและสูบบุหรี่ โอกาสที่จะเป็นมะเร็งที่ปอดและส่วนอื่นของร่างกายก็จะสูงขึ้นกว่าผู้ที่มิได้ดื่มสุราหรือสูบบุหรี่

เคล็ดลับห่างไข้ ไกลมะเร็ง
มีปัจจัยสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่จะช่วยทำให้ร่างกายเราห่างจากการเป็นมะเร็ง คือ การพยายามทำจิตใจให้เบิกบาน อยู่ใกล้ๆ ธรรมชาติที่ดี หลีกเลี่ยงความเครียด พยายามพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างเต็มที่ และเป็นปกติ

การนอนหลับ เป็นการพักผ่อนที่ดี เพราะร่างกายมีโอกาสซ่อมแซมบำรุงรักษา อวัยวะส่วนที่ทรุดโทรมให้แข็งแรงเหมือนเดิม

การหลีกเลี่ยงความเครียดเป็นการช่วยร่างกายทางอ้อม เพราะเมื่อจิตใจเบิกบาน ระบบต่างๆ ในร่างกายก็จะทำงานได้ดี

 

ข้อมูลสื่อ

51-002
นิตยสารหมอชาวบ้าน 51
กรกฎาคม 2526
อื่น ๆ
รศ.ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ