• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ทำไมจึงเป็นหมอชาวบ้าน

 

ประเทศไทยในวันหนึ่ง ๆ มีผู้เจ็บไข้ได้ป่วยประมาณ 2 ล้านคน
ท่านทราบไหมว่าจากจำนวน 2 ล้านคนนี้ ส่วนน้อยนิดเดียวเท่านั้นที่ไปหาหมอหรือไปโรงพยาบาลได้ พวกที่ได้ไปก็ต้องเข้าคิวรอแทนล้มประดาตาย เจอหมอก็เพียงนาทีสองนาที ยังไม่ทันจะเล่าอะไรให้สมอยาก ก็ได้รับใบสั่งยาให้ไปเข้าคิวเอายาเสียแล้ว ถ้าซวยหน่อยก็ถูกดุถูกตวาดแถมมาด้วยเหมือนอย่างกับไปขอทานบริการ คนส่วนใหญ่ ไม่สามารถไปหาหมอหรือไปโรงพยาบาลได้ เพราะเหตุใหญ่ ๆ 3 ประการ คือ
(1) จนเกิน (2) ไกลเกิน (3) โรงพยาบาลมันแน่นเกิน ไม่มีความสะดวก


สภาพของการแพทย์ของเราโดยสรุปก็คือ เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย คนส่วนน้อยเท่านั้นที่ไปหาหมอหรือไปโรงพยาบาลได้ แต่ก็ไปได้รับบริการที่คุณภาพไม่ดีเพราะเป็นการตรวจรักษาแบบเร็ว ๆ ลวก ๆ คนส่วนใหญ่ไม่ได้ไปหาหมอหรือไปโรงพยาบาล แต่ต้องเที่ยวไขว่คว้ารักษตัวเอง ซื้อยากินเองบ้าง หาหมอเถื่อน หมอผี หมอพระ ตามบุญตามกรรม เป็นสภาพที่น่าอเนจอนาถ
และในสภาพเช่นนี้ ที่แล้วมาหมอก็ยังแนะนำประชาชนว่า อย่ารักษาตัวเอง เป็นอะไรควรไปหาหมอ และว่าถึงไม่เป็นอะไรก็ควรไปหาหมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะคนส่วนใหญ่ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่เคยหาหมอและไม่มีทางหาหมอ


มีหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่ว่า อตตาหิ อตตโน นาโถ หรือ ตนเป็นที่พึ่งของตน การสอนว่าอย่ารักษาตัวเอง ก็เท่ากับสอนว่าอย่าพึงตนเอง อันเป็นการขัดกับหลักธรรม เมื่อทำอะไรที่ขัดกับหลักธรรม ความขัดข้องและปัญหาก็เกิดขึ้น ก็อย่างสภาพที่บรรยายมาข้างต้น กล่าวคือประชาชนช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องทนทุกข์ทรมานสูญเสียชีวิตโดยไม่สมควร และเข้าไปแออัดยัดเยียดรอตรวจที่โรงพยาบาลจนบริการที่โรงพยาบาลก็เป็นบริการที่มีคุณภาพต่ำ

เมื่อประมาณ 10 ปีมาแล้ว พวกเรากลุ่มหนึ่ง เห็นว่าการสอนให้ประชาชนไม่รักษาตนเองเป็นหลักการที่ผิด การรักษตนเองเป็นสี่งที่ถูกและเป็นธรรม จึงเริ่มหาทางเปลี่ยนทรรศนะอันนี้ โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ส่วนใหญ่ประชาชนสามารเรียนรู้เพื่อป้องกันและรักษาได้ ถ้าท่านไม่เชื่อผมจะลองยกตัวอย่างให้ดูนัก 2-3 อย่างได้

เป็นไข้หวัด ไข้หวัดเกิดจากเชื้อไวรัส ยังไม่มียาฆ่าเชื้อไวรัส และไม่จำเป็นต้องฆ่าเพราะมันหายเอง การรักษาเป็นการรักษาตามอาการ คือมีอาการอะไรรักษาอาการนั้น ไม่มีอาการอะไรก็ไม่ต้องรักษาที่มีอาการนั้น เช่น ถ้ามีไข้หรือปวดหัว กินยาชื่อแอสไพริน หรือพาราเซตามอล อย่างใดอย่างหนึ่ง 2 เม็ด อย่างแรกราคาที่โรงพยาบาล เม็ดละ 7 สตางค์ อย่างหลังเม็ดละ 20 สตางค์ พอกินเข้าไปไข้ลด หายปวดหัว ก็รู้สึกสบาย ถ้าคัดจมูกน้ำมูกไหล กินยาแก้แพ้ชื่อ คลอร์เฟนิรามิน ซึ่งจะทำให้จมูกโล่งหรือน้ำมูกแห้ง ราคาเม็ดละ 20 สตางค์  ถ้าไอ กินยาแก้ไอน้ำดำ ขององค์การเภสัชกรรมหรือยี่ห้ออื่น ๆ ก็ได้
เห็นไหมครับ ท่านรักษาไข้หวัดได้แล้ว ราคาถูกกว่าและปลอดภัยกว่าไปซื้อยาชุดกินเสียอีก!


เป็นแผลในกระเพาะอาหาร หรือโรคกระเพาะ โรคนี้เป็นกันชุกชุม มีอาการปวดร้องเรื้อรังตรงลิ้นปี่ เป็นๆ หาย ๆ โดยเฉพาปวดมากตอนหิวถ้ามีอาการอย่างนี้ส่วนใหญ่เป็นโรคกระเพาะหรือแผลในกระเพาะอาหาร วิธีที่ง่ายและดีที่สุดก็คือลองรักษาดู โดยการกินอาหารที่ถูกต้องและกินยาลดกรด คืออย่าปล่อยให้ท้องหิว กินอาหารบ่อย ๆ จะเป็นข้าวต้ม นม โจ๊ก หรือน้ำนมถั่วเหลืองก็ได้ และกินยาลดกรด เช่น อะลั่มมิลค์ หรืออัมมาเยล สลับกับอาหาร กินวันละ 4-5 ครั้งหรือเมื่อปวด ถ้าถูกกับโรค ก็สบายดีหรือหายปวดเลย เห็นไหมครับมันง่ายและสะดวกดีกว่า ไปเข้าคิวรอตรวจถูกดุถูกตวาดซึ่งพลอยทำให้โรคหนักไปกว่าเก่าอีก


เป็นมาลาเรีย ถ้าอยู่ในแดนมาลาเรีย หรือเข้าไปในแดนมาลาเรีย เป็นไข้จับสั่นขึ้น โดยเฉพาะจับเป็นเวลาก็ค่อนข้างแน่ชัดว่าเป็นมาลาเรีย ที่ดีและสะดวกที่สุด ก็กินยาแก้มาลาเรียเสียเลยคือ กินยาชื้อ แฟนซิดาร์ 2 เม็ด ครั้งเดียว หรือกินยาเม็ดควินิน ครั้งละ 2 เม็ด วันละ 3 ครั้ง หลังอาหารเป็นเวลา 7 วัน ทำเท่านี้ในคนที่เป็นมาลาเรียกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ โรคก็จะหาย

เอาละครับ ที่เล่ามา 3 โรคนั้นเป็นเพียงการฉายหนังตัวอย่างเท่านั้น เพื่แสดงให้เห็นว่าการรักษาโรคต่าง ๆ นั้นมันไม่ยากอย่างที่คิด หรือถูกทำให้มันเป็นการยากต้องมนุษย์พิเศษเท่านั้นจึงจะทำได้ แท้ที่จริงประชาชนสามารถจะเรียนรู้ที่จะดูแลตัวเองและดูแลกันเองในเรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย เช่นเรื่องของโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ฯลฯ
การสอนไม่ให้รักษาตัวเอง เป็นเหตุให้ผู้คนลำบากยากเข็ญและสูญเสียชีวิตเหลือคณานับ ในปัจจุบันนี้คนไทยยังตายจากโรคมาลาเรียปีละอย่างน้อย 5,000 คน ลองคิดดูสิครับว่ามันน่าเอนจอนาถใจเพียงใด ถ้าเป็นพ่อเป็นแม่ หรือเป็นลูกเป็นหลานของท่าน เป็นมาลาเรียขึ้นมาในป่าในดง หามดหาหมอที่หนไม่ได้ จะกินยาเองก็ไม่มีความรู้ (เพราะเขาสอนว่าอย่ารักษาตัวเอง) เป็นไข้ 2-3 วัน มาลาเรียขึ้นสมองก็ตาย


แต่ถ้ามีความรู้เรื่องยาดังกล่าวข้างต้น การรักษาตนเองอย่างฉับไวทันกาลจะช่วยรักษาชีวิตไว้ได้ ถึงไม่ใช่คนป่าคนดอย หรือคนยากจน คนรวยหรือคนในกรุงหรือในเมือง ถ้าขาดความรู้แล้วก็ทุกข์ทรมานได้มาก ๆ เช่น  เที่ยงคืนหรือตีหนึ่ง เกิดเป็นไข้หวัดใหญ่ขึ้นมา ตัวรัอนจัด ปวดเมื่อยไปทั้งตัว จะไปปลุกหมอหรือไปโรงพยาบาลก็เป็นเรื่องยากลำบากไปหมด ปวดซมอยู่ทั้งคืน นอนไม่หลับ ทุกข์ทรมานยิ่งนัก แต่ถ้มีความรู้ มียาแอสไพริน (เม็ดละ 7 สตางค์) หรือยาพาราเซตามอล (เม็ดละ 20 สตางค์) เก็บไว้ที่บ้าน กินอย่างใดอย่างหนึ่งเสีย 2 เม็ด ไข้ลด หายปวดเมื่อย นอนหลับสบายแฮ ก็แค่นั้นเอง

เที่ยงคืนหรือตีหนึ่ง เกิดท้องเดินปรู๊ดขึ้นมา จะไปปลุกหมอ หรือไปโรงพยาบาลเป็นเรื่องยากลำบากไปหมด ถ้าทิ้งไว้ท้องอาจเดินมากขึ้น จนต้องไปให้น้ำเกลือ หรือถึงกับล้มตายไปก็มี แต่ถ้ามีความรู้ กินยาเม็ดธาราโซล หรือซัลฟากัวนีดิน อย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าไป 5 เม็ดทันที และกินยาน้ำบิสมัธ หรือเคาลิน อย่างใดอย่างหนึ่งเข้าไปสัก 2 ช้อนโต๊ะ ส่วนใหญ่ท้องมันก็หยุดเดิน ปัญหามันก็หยุดอยู่ที่บ้านไม่ต้องไปทุกข์ยากมายมาย เสียเงิน เสียเวลา หรือเสียชีวิต

แล้วใครยังจะว่าการให้ประชาชนมีความรู้ในการรักษาตัวเอง เป็นของไม่ดีอีกไหมครับ ที่จริงพวกเราส่วนใหญ่ที่รอดชีวิตอยู่กันมาทุกวันนี้เพราะใครครับ ลองคิดกันดูให้ดี ๆ สิครับ ไม่ใช่เพราะหมอหรอกครับ แต่เพราะแม่ของเราใช่ไหมครับ แม่ทุกคนขวนขวายรักษาลูกมาทั้งสิ้น ไม่มีใครว่าการทีแม่ขวนขวายรักษาลูกเป็นของไม่ดี ตรงข้าม ถ้ายิ่งแม่มีความรู้มากเท่าไร ยิ่งมีประโยชน์แก่ประชาชนทั้งประเทศ แม่เป็นหมอชาวบ้านมาช้านาน


การออกนิตยสาร หมอชาวบ้านก็เพราะเราคิดว่า โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ประมาณ 80-90 เปอร์เซ็นต์ ชาวบ้านสามารถเรียนรู้เพื่อป้องกันและรักษาตัวเองได้ หลักการที่สำคัญของการแพทย์อยู่ที่ว่า ให้ประชาชนมีความรู้มากที่สุด ให้เจ็บป่วยน้อยที่สุด ไม่เจ็บป่วยได้เลยยิ่งดี ถ้าเจ็บป่วยแล้ว ให้ลำบากน้อยที่สุด สูญเสียน้อยที่สุด (เสียเวลาน้อยที่สุด เสียกายน้อยที่สุด เสียใจน้อยที่สุด เสียทรัพย์น้อยที่สุด) ฟังดูอาจจะเป็นการแพทย์ที่แปลกใช่ไหมครับ แต่นั่นแหละเป็นหลักการของหมอชาวบ้าน
ขณะนี้เราได้ตีพิมพ์ คู่มือหมอชาวบ้าน ฉบับพกกระเป๋าติดตัวสำหรับประชาชนเวลาไปไหนมาไหนติดตัวไว้ด้วย เมื่อเจ็บป่วยไม่สบายขึ้นมาเมื่อใดจะได้หยิบขึ้นมาดูได้ทันที
แค่นี้ก็ยังไม่พอ เราอยากเห็นชาวบ้านทุกบ้านทั่วประเทศ วัดทุกวัด โรงเรียนทุกโรงเรียน ทหารทั้งกองทัพ บริษัท ห้างร้าน ธนาคาร ฯลฯ มีความตื่นตัวเรื่องสุขอนามัย เรียนรู้การป้องกันและรักษาโรคให้มากที่สุด ซึ่งรัฐบาลควรใช้สื่อสารมวลชนของรัฐเช่น วิทยุ โทรทัศน์ และระบบอื่น ๆ มาสื่อสารเพื่อการสรรค์สร้างให้มากที่สุด


ขณะนี้แนวทาง “หมอชาวบ้าน” ไม่ใช่แนวทางที่แปลกใหม่แต่อย่างใดอีกต่อไปแล้ว เพราะกระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศใช้นโยบายแห่งการสาธารณสุขมูลฐาน ซึ่งสนับสนุนการพัฒนาความสามารถของประชาชนให้ช่วยตัวเองได้ ซึ่งรวมถึงการเรียนรู้ให้สามารถป้องกันและรักษาโรคให้ได้มากที่สุดด้วย เมื่อแรกเริ่มนั้นแนวทาง “หมอชาวบ้าน” อาจนับว่าเป็นการทวนกระแสความคิดแท้ที่จริงการทวนกระแสความคิดนั้นจำเป็นในเรื่องอื่น ๆ อีกด้วย ในการพัฒนาสังคม


เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นนั้น สังคมอินเดียคงจะมีปัญหามากมายอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าท่านเป็นนักทวนกระแสความคิดที่สำคัญ เช่น
เขานิยมกันว่ามีมากเป็นของดี ท่านว่ามีน้อยเป็นของดี
เขานิยมสวมใส่เสื้อผ้าแพรพรรณสวยงาม ท่านไปเอาผ้าห่อผีมาเป็นเครื่องแต่งตัว
เขานิยมไว้ผมยาวสลวย ใส่น้ำมัน ท่านโกนผมทิ้งเสียเลย

ดังนี้เป็นต้น
ถ้าเรายังคิด ยังเชื่อ ยังกระทำตาม ๆ กันไปอย่างเคย บางทีมันแก้ปัญหาในชีวิตและสังคมไม่ได้ จำเป็นต้องมีการคิดทวนกระแสกันบ้าง
ในปัจจุบัน ประชาชนประสบความทุกข์ยากนานาประการมากขึ้น
ถ้ามีความคิดทวนกระแสในเรื่องต่าง ๆ กันบ้าง เราอาจมีวิธีพัฒนาประเทศชาติให้อยู่เย็นเป็นสุขขึ้นมาก็ได้ เป็นสิ่งที่เป็นไปได้แน่นอนว่าเราสามารถสร้างสรรค์ประเทศของเราให้ร่มเย็นเป็นสุข
ประชาชนมีพออยู่พอกินอย่างทั่วถึง มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน มีความเจริญทางศิลปวิทยาการ และมีความเจริญทางจิตใจ ถ้าเรามีความคิดที่ถูกต้องหรือสัมมาทิฐิ
 

ข้อมูลสื่อ

69-009
นิตยสารหมอชาวบ้าน 69
มกราคม 2528
อื่น ๆ
ศ.นพ.ประเวศ วะสี