• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

คันในที่ลับ

 

คงจำกันได้ถึงความรู้สึกเวลาคัน หงุดหงิด ลุกลี้ลุกลน ถ้าคันในที่เปิดเผย เกาสนุก ยิ่งเกายิ่งมัน ยิ่งมันยิ่งเกา แต่ถ้าคันในที่ลับจะเกาดูน่าเกลียด ขยับขาไม่หายคัน ดึงกางเกงในขึ้นยิ่งคันมากขึ้น จะไปตรวจหรือเล่าให้ใครฟังก็อาย พาลนอนไม่หลับ ใจสั่น พอกลับบ้านเข้าห้องได้โอกาสเกาให้หายแค้น เลยเกิดแผลน้ำเหลืองไหล ถึงขั้นนี้ทนไม่ไหวตรวจเป็นตรวจ หมอผู้ชายหรือผู้หญิงไม่อายแล้ว
ส่วนสาเหตุของการคันบริเวณอวัยวะเพศและทวาร มีสาเหตุจากหลายปัจจัย ได้แก่ โรคติดเชื้อ โรคผิวหนัง โรคของทวารและอวัยวะเพศร่วมกับโรคอื่นๆ และจิตใจ

 

⇒ โรคติดเชื้อ
โรคติดเชื้ออาจเกิดจากความสัมพันธ์ทางเพศ หรือไม่สัมพันธ์ทางเพศก็ได้ โรคติดเชื้อที่เกิดจากความสัมพันธ์ทางเพศมีจำนวนเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับการเจริญทางด้านอื่นๆ เช่น โรคไวรัสตับอักเสบชนิดบี (โรคดีซ่าน) โรคเฮอร์ปีส์ซิมเพรคชนิดสอง (โรคเริม)

โรคติดเชื้อบริเวณอวัยวะเพศที่นับว่าคันที่สุด คือ โรคแคนดิดา เกิดจากเชื้อราชนิดส่า ซึ่งสร้างสายราได้
ที่เรียกว่า ‘ ส่าเทียม‘ เชื้อส่านี้มีอยู่เป็นปกติในช่องปากและทางเดินอาหาร โดยเฉพาะทวารหนัก ปนมากับอุจจาระ และจะทวีจำนวนก่อโรคในช่องคลอดเกิดอาการตกขาว และการอักเสบบริเวณอวัยวะเพศ ซึ่งอาจลามไปที่ขาหนีบและทวาร บางครั้งอาจมีแผ่นฝ้าขาวติดอยู่ที่แคมอวัยวะเพศคล้ายทาด้วยดินสอพอง คนที่เคยเป็นแล้วจะทราบว่าคันมาก ขนาดแทบว่าจะแช่อวัยวะเพศในน้ำให้ทุเลาอาการคัน
เชื้อส่านี้จะทวีจำนวนก่อโรคในบางภาวะ เช่น ได้รับยาปฏิชีวนะนานๆ ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ทำให้ส่าเจริญงอกงาม ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้

คนที่เป็นแล้วมักจะเป็นอีก ต้องเหน็บยาฆ่าเชื้อส่า เช่น ไมโคสแตนตินติดต่อกัน 14 วัน ซักกางเกงในให้สะอาด

ตัวที่ก่ออาการคันรองจากเชื้อแคนดิดา คือ ทริโคโมแนส เกิดจากปรสิตชนิดมีหนวด เคลื่อนไหวได้ ชอบขึ้นอยู่ในที่ที่ไม่ใช้ออกซิเจน ภาษาชาวบ้านเรียกอาการที่มีน้ำออกมาจากช่องคลอดว่า “ตกขาว” แต่ในกรณีนี้ตกไม่ขาวแต่เป็นสีเขียว กลิ่นเหม็น คันยุบยิบจนรู้สึกว่ามีตัว ปวดเจ็บบริเวณอวัยวะเพศร่วมด้วย ยาฆ่าเชื้อปรสิตที่ใช้รับประทานคือ เมโทรนิดาโซล ขนาด 250 มิลลิกรัม หลังอาหาร 3 เวลา ติดต่อกัน 7 วัน ข้อสำคัญถ้าฝ่ายหญิงเป็น ต้องรักษาฝ่ายชายด้วย ขนาดยาเท่ากัน มิฉะนั้นเมื่อฝ่ายหญิงหายแล้วก็อาจได้รับจากฝ่ายชายอีกได้

โรคติดเชื้ออื่นๆ ที่ทำให้คัน เช่น หิด หิดเป็นปรสิต มักพบว่าเป็นตามซอกมือซอกเท้า เนื่องจากคนเราต้องใช้มือจับโน่นจับนี่ตลอดเวลา คนที่เป็นหิดจึงอาจลุกลามไปที่บริเวณขาหนีบและอวัยวะเพศได้ พอเข้าถึงบริเวณนี้หิดชอบเพาะอยู่ในที่ลับ ถ้าใครเป็นหิดควรทายาบริเวณอวัยวะเพศด้วย

ปรสิตอีกตัวที่ชอบบริเวณนี้ คือตัวโลน มักพบในชายมากกว่าหญิง

โรคอีริทราสเกิดจากเชื้อแบคที่เรียมักเป็นที่ขาหนีบ ทวาร

โรคหนองในที่ทวารมักมีอาการคัน เจ็บ เป็นอาการเริ่มแรก ทำให้วินิจฉัยผิด

ถ้าเป็นในเด็กปรสิตที่ควรนึกถึงมากที่สุดคือพยาธิเส้นด้าย จะเริ่มคันทางด้านหลังก่อน แล้วลามมาด้านหน้า บางรายตรวจพบตัวพยาธิเส้นด้ายในช่องคลอดเด็ก

นอกจากนี้พยาธิตืดหมู ตืดวัว และบิด อะมีบา ก็อาจทำให้คันบริเวณทวารได้

โรคไวรัส เช่น เริมหรือเฮอร์ปีส์ ซิมเพล็กซ์ เริ่มด้วยการเสียวๆ คันๆ ก่อนเกิดตุ่มพองใส พอตุ่มใสขั้นจะมีอาการปวดเจ็บ

โรคหงอนไก่ มักเกิดบริเวณอวัยวะเพศและทวาร บางรายลุกลามเข้าปากมดลูก ยิ่งระยะตั้งครรภ์อาจเจริญงอกงามในช่องคลอดได้ หลังคลอดมักจะทุเลาหรือหายไปเอง

โรคหูดข้าวสุก ยิ่งเกายิ่งคันและแพร่ไปรวดเร็ว

 

⇒โรคผิวหนัง
โรคผิวหนังที่ทำให้เกิดอาการคันและพบได้บ่อย คือ โรคแพ้ สมัยนี้ผ้ากางเกงใน ทำจากใยสังเคราะห์มีสีสันสวยงาม รูปแบบต่างๆ กัน โอกาสแพ้ มีมาก การร่วมเพศที่นอกเหนือสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เช่นใช้ถุงยาง ครีม เครื่องช่วยสำราญ การตบแต่งขนบริเวณอวัยวะเพศ น้ำหอม สเปรย์รักษาของลับ ล้วนทำให้เกิดการคัน ได้ทั้งนั้น

นอกจากนี้โรคผิวหนังที่เป็นอยู่ก็อาจเกิดที่บริเวณอวัยวะเพศได้ เช่น โรคสะเก็ดเงินหรือโชริอาสิส (Psoriasis) ผิวหนังชั้นบนสุดลอกเห็นบริเวณขอบชัด เป็นสะเก็ดสีเงิน คัน

โรคซีบอเรอิค ไม่ใช่เกิดเฉพาะบริเวณหนังศีรษะเท่านั้น อาจเกิดที่บริเวณอวัยวะเพศด้วยก็ได้

โรคกลาก โดยเฉพาะผู้ชายมักเป็นที่ขาหนีบ ลามไปอวัยวะเพศ และถุงอัณฑะ

ก่อนวัยมีประจำเดือน หรือหลังหมดประจำเดือน ร่างกายจะขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน ช่องคลอดมีลักษณะเป็นด่าง เยื่อบุช่องคลอดบาง ผิวหนังชั้นนอกสุดจึงติดเชื้อหรือเป็นแผลง่าย คนสูงอายุมักคันบริเวณอวัยวะเพศ ถ้าร่วมเพศจะเจ็บ

นอกจากนี้เส้นเลือดดำที่ชอบโป่งพองที่ขาหรือทวาร อาจเกิดโป่งพองบริเวณนี้ และมีอาการอักเสบ คัน
คนที่ชอบเกาเพื่อจับของลับ อาจทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นหนาขึ้น เกิดการคัน
หน้าหนาว อาบน้ำอุ่น ฟอกสบู่ทำให้ผิวแตกงานและคันได้

 

⇒โรคของทวารและอวัยวะเพศ
บริเวณทวารและอวัยวะเพศเป็นบริเวณที่ชุ่มฉ่ำ ต่อมต่างๆ ทำงานพร้อมพรั่ง ถ้ามีความผิดปกติเกิดขึ้นจะทำให้มีน้ำลักษณะใสๆ เป็นมูกหรือมูกปนเลือดออกมาได้ น้ำที่ถูกขับออกมานี้จะทำให้เกิดการระคายคัน เกิดการแพ้ และบางรายมีการอักเสบร่วมด้วยเช่น อาการตกขาว มะเร็งของอวัยวะเพศ (ได้แก่ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งรังไข่ มะเร็งท่อไข่) มะเร็งลำไส้ใหญ่ พวกนี้ต้องใช้ผ้าซับ มิฉะนั้นนั่งที่ไหนเลอะที่นั่น และมักมีกลิ่นคาวและเหม็น

ริดสีดวงทวาร นอกจากจะทำให้ถ่ายเป็นเลือดสดแล้ว อาจมีเส้นเลือดดำโป่งพอง เกิดอาการอักเสบคันและเจ็บในหญิงที่กะบังลมหย่อน (มดลูกโผล่) อาจมีการอักเสบและคันร่วมด้วยได้

 

⇒ร่วมกับโรคอื่น
คนที่เป็นโรคระบบหนึ่งระบบใดมักจะมีผลกระทบถึงอวัยวะอื่นๆ ด้วย เช่น เบาหวาน

ลมพิษอาจขึ้นตามตัวและบริเวณทวารและอวัยวะเพศ ทำให้มีอาการคันได้ ผู้ป่วยต้องพยายามหาสาเหตุที่แพ้

โรคตับทำให้มีการคั่งของกรดน้ำดี เกิดอาการคัน ภาวะตั้งครรภ์มีการคั่งของกรดน้ำดีเช่นกัน เกิดการคัน หลังคลอดจึงหาย

มะเร็งที่อวัยวะอื่นอาจทำให้อวัยวะเพศคัน
สาเหตุอื่นๆ ได้แก่ โรคเม็ดเลือดแดงมาก ขาดเหล็ก โรคเก๊าท์ และภาวะไตล้มเหลว

 

⇒จิตใจ
บริเวณอวัยวะเพศและทวารจะมีใยประสาทเข้ามาประสานกันอยู่เป็นจำนวนมาก จิตใจและอารมณ์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการคันในบริเวณนี้มากที่สุด จิตใจที่ไม่ปกติ ก่อให้เกิดอาการคันได้ ซึ่งมักจะเกาช่องคลอดและทวารเป็นประจำ บางรายเกาไม่พอ ยังเปิดดูให้รู้ว่ามีอะไร จึงคันอย่างนี้ คนอื่นต้องถูกยัดเยียดให้ดูไปด้วย ความเครียดทำให้ต่อมทำงานขับเมือกออกมามาก รู้สึกว่าอวัยวะเพศพองโต ต้องล้างต้องเช็ด เกิดอาการคันระคาย

คนที่คันบริเวณอวัยวะเพศและทวาร จะต้องได้รับการตรวจอย่างละเอียด ถ้าไม่พบโรคทางกายต้องหาสาเหตุทางจิตใจ ยิ่งสมัยปัจจุบันความสัมพันธ์ทางเพศเป็นไปโดยสะดวก รูปแบบของการร่วมเพศพัฒนาไป อาจร่วมกับเพศเดียวกัน หรือต่างเพศ หากร่วมเพศไม่ใช่หนึ่งต่อหนึ่ง แต่อาจเป็น 1 ต่อ 2,3 นอกจากจะติดเชื้อแล้ว ผู้กระทำหรือผู้ถูกกระทำบางรายรู้สึกตัวว่าพิสดารไม่เหมือนชาวบ้านเรื่องคันบริเวณอวัยวะเพศและทวารจึงพบได้มากขึ้น.
 


 

ข้อมูลสื่อ

72-005
นิตยสารหมอชาวบ้าน 72
เมษายน 2528
อื่น ๆ
พญ.เสาวรส อิ่มวิทยา