นพ.สันต์ หัตถีรัตน์
เสียชีวิตจากการตรวจสุขภาพ
ตัวอย่างผู้ป่วยรายที่ ๕๕
ชายไทยม่ายอายุ ๗๒ ปี ไม่มีโรคประจำตัวใดๆ ได้ดูแลรักษาสุขภาพของตนเองเป็นอย่างดี ไม่สูบบุหรี่หรือดื่มสุรา ไม่มีอาการผิดปกติ วิ่งออกกำลังกายทุกวัน จึงแข็งแรงดี ในครอบครัวไม่มีใครเป็นเบาหวาน ความดันเลือดสูง โรคหัวใจ หรือโรคร้ายแรงใดๆ บิดามารดายังมีชีวิตอยู่และยังช่วยตนเองได้ตามสภาพแก่วัยที่เกิน ๙๐ ปีแล้ว
วันหนึ่ง บุตรสาวคนสุดท้องที่อยู่กับพ่อ เห็นข่าวประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาลรัฐบาลแห่งหนึ่งว่า ผู้สูงวัยควรไปตรวจ (เช็ก) สุขภาพประจำปีว่ามีโรคร้ายแรงหรือเปล่า จะได้รักษาแต่เนิ่นๆ
ยิ่งมีข่าวผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองล้มฟุบกลางที่ประชุม จนต้องนำส่งโรงพยาบาล และแพทย์ต้องนำไป "บอลลูน" ขยายหลอดเลือดหัวใจโดยด่วน แล้วแพทย์ยังออกมาให้ข่าวว่า "โชคดีที่มาเร็ว ไม่งั้นอาจรักษาไม่ทัน" เป็นต้น ยิ่งทำให้เธอเป็นห่วงพ่อมากขึ้น จึงรบเร้าให้พ่อไป ตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลของรัฐ เพราะเชื่อว่าโรง-พยาบาลของรัฐคงจะไม่มั่วหรือตรวจรักษาเพื่อหวังผลกำไรเช่นโรงพยาบาลเอกชน เนื่องจากเธอได้ข่าวว่าโรงพยาบาลเอกชนมี "โปรแกรม" และ "แพ็กเกจ" ตรวจสุขภาพแบบต่างๆ มานานแล้ว เพื่อ หาเงิน ให้กับแพทย์และโรงพยาบาล เธอจึงไม่สนใจ
แต่เมื่อโรงพยาบาลของรัฐโฆษณาประชาสัมพันธ์เรื่องการตรวจสุขภาพ โดยเฉพาะเรื่องโรคหัวใจในผู้สูงอายุ เธอจึงสนใจและรบเร้าพ่อให้ไปตรวจ ทั้งที่พ่อเองไม่อยากตรวจ เพราะเห็นว่าตนเองสบายดี ไม่มีอาการผิดปกติอะไรและยังออกกำลังได้เป็นปกติ ทั้งตนเองก็ไม่เคยไปตรวจสุขภาพประจำปีมาก่อนเลย ก็ไม่เห็นเป็น อะไร (แต่เคยไปตรวจสุขภาพเมื่อครั้งไปสมัครเข้าทำงาน แล้วเขาบังคับว่าต้องไปให้หมอตรวจสุขภาพก่อน เพื่อจะได้เลือกเอาคนที่ไม่เป็นโรคเข้าทำงาน จึงจำเป็นต้องไปตรวจสุขภาพ)
อย่างไรก็ตาม เมื่อลูกรบเร้าอยู่เรื่อยๆ พ่อก็ยอมตามใจลูก เพราะลูกบอกว่าสามารถเบิกค่าตรวจรักษาต่างๆ ได้หมด จึงไปตรวจสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุตามคำโฆษณาประชาสัมพันธ์นั้น แม้ว่าการตรวจสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุจะแพงกว่าสำหรับประชาชนทั่วไปที่ไม่เจาะจงว่าจะตรวจแบบผู้สูงอายุ เนื่องจากโปรแกรม หรือ แพ็กเกจ การตรวจ สุขภาพทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดจะเน้นการตรวจทางห้องปฏิบัติการ (การตรวจ "แล็บ") แบบครอบจักรวาล หรือแบบสะเปะสะปะ โดยไม่ได้ขัดเกลาให้เหมาะสมกับประวัติความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยของแต่ละคนซึ่งไม่เหมือนกัน และให้เหมาะสมกับความผิดปกติที่พบจากการตรวจร่างกายในแต่ละคน
เพราะในการตรวจสุขภาพส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมด แพทย์จะให้ความสนใจกับการซักประวัติและการตรวจร่างกายน้อยมาก เพราะการซักประวัติและตรวจร่างกาย ให้ละเอียดถี่ถ้วนต้องใช้เวลาอย่างน้อย ๒๐-๓๐ นาที ซึ่งจะทำให้แพทย์เสียเวลามาก และไม่คุ้มกับค่าตรวจที่ได้รับ
การตรวจสุขภาพเกือบทั้งหมดจึงเน้นการตรวจ "แล็บ" เช่น ตรวจเลือด อุจจาระ ปัสสาวะ เอกซเรย์ คลื่นไฟฟ้าหัวใจ คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจและ/หรือท้อง และอื่นๆ
เมื่ออายุมากขึ้น อวัยวะและระบบต่างๆ ในร่างกาย จะย่อหย่อนและมีโรคภัยไข้เจ็บเพิ่มมากขึ้น การตรวจ แล็บ จึงต้องครอบจักรวาลมากขึ้น การตรวจสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุจึงมีราคาแพงมากกว่าสำหรับประชาชน ทั่วไป และยิ่งตรวจมาก ก็ยิ่งพบความผิดปกติมากขึ้น เป็นธรรมดา
ชายผู้นี้ก็เช่นเดียวกัน หลังการตรวจ แพทย์บอกว่า ไขมัน (คอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์) ในเลือดสูงเล็กน้อย กรดยูริกสูงเล็กน้อย คลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าเป็นโรคหัวใจขาดเลือดจากหลอดเลือดหัวใจตีบหรือไม่ ควรตรวจเพิ่มเติมด้วยการออก-กำลังบนลู่วิ่ง (treadmill exercise test)
ชายผู้นี้ปฏิเสธ แต่ลูกสาวก็รบเร้าให้ตรวจ เพราะเบิกค่าตรวจได้ ในที่สุดชายผู้นี้ก็ยอมให้ตรวจคลื่นไฟฟ้า หัวใจขณะวิ่งจนเหนื่อย แต่ไม่มีอาการอะไรอื่น เพราะเคย วิ่งออกกำลังทุกวันอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ผลการตรวจออกมายังก้ำกึ่งว่า จะเป็นโรคหัวใจขาดเลือดหรือไม่ แพทย์จึงแนะนำให้ตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (echocandiography) ซึ่งไม่เหนื่อยและไม่เจ็บตัว ผลปรากฏว่าหัวใจดูปกติดี แต่ไม่สามารถบอกว่าหลอดเลือด หัวใจตีบหรือไม่
แพทย์จึงแนะนำให้สวนหัวใจ (cardiac catheterization) และฉีด สี (สารทึบแสงเอกซเรย์) เข้าในหลอดเลือดหัวใจ (coronary angiography) ซึ่งจะเป็นการตรวจที่แน่นอนที่สุดว่า หลอดเลือดหัวใจผิดปกติหรือไม่ ชายผู้นี้ปฏิเสธ เพราะไม่อยากเจ็บตัวและเห็นว่า ยิ่งตรวจยิ่ง "หนักข้อ" ขึ้นเรื่อยๆ แต่ลูกสาวก็ยังรบเร้าให้ตรวจ เพราะเบิกค่าตรวจรักษาทั้งหมดได้ และหมอยังบอกด้วยว่า "ถ้าเป็นพ่อของหมอ หมอก็จะให้สวนหัวใจตรวจเช่นเดียวกัน"
ลูกสาวจึงเคี่ยวเข็ญพ่อ จนพ่อยอมอดอาหารและเตรียมตัวเป็นอย่างดีเพื่อการสวนหัวใจ และในเช้าวันหนึ่ง พ่อก็ได้รับการสวนหัวใจหลังจากที่ถูกงดไปครั้งหนึ่ง (เพราะมีผู้ป่วยหนัก "แซงคิว" ไปในครั้งก่อน) แต่ชายผู้นี้โชคร้าย สายสวนหัวใจเกิดแทงทะลุหลอดเลือดใหญ่ ทำให้ตกเลือด ช็อก และเสีย ชีวิตในเวลาต่อมา
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นน้อยมาก แต่ก็เกิดขึ้นได้ เพราะในการตรวจพิเศษต่างๆ ที่ต้องสอดใส่เครื่องมือเข้าไปในร่างกาย ภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ย่อมเกิดขึ้นได้ และบางรายก็ถึงแก่ชีวิต เช่นเดียวกับการผ่าตัด แม้แต่การผ่าฝีหรือผ่าตัดไส้ติ่งที่คนทั่วไป (รวมทั้งแพทย์) อาจเห็นว่าเป็นของเล็กน้อย แต่ภาวะแทรกซ้อนถึงแก่ชีวิตก็อาจเกิดขึ้นได้ แม้จะเกิดขึ้นน้อยมากก็ตาม
การฉีด "สี" (สารทึบแสงเอกซเรย์) ก็เช่นเดียวกัน คนที่แพ้ "สี" อาจจะหายใจไม่ออก ช็อก และเสียชีวิตได้ แม้จะเป็นการฉีด "สี" เข้าหลอดเลือดธรรมดา เหมือนการฉีดยาทั่วไป การตรวจและการรักษาต่างๆ ที่ต้องใช้ยา หรือสารเคมี หรือเครื่องมือกระทำต่อร่างกาย จึงเกิดผลข้างเคียง (ภาวะแทรกซ้อน) ได้เสมอ ถ้าเป็นน้อย ก็เป็นเพียง อาการคลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ หรือผื่นคัน ถ้าเป็นมากก็อาจมีอาการรุนแรง หรือถึงแก่ชีวิตได้
ที่น่าเสียใจสำหรับชายผู้นี้ก็คือ ท่านเป็นคนแข็งแรงดี ไม่มีอาการอะไร และไม่มีประวัติโรคร้ายแรงในครอบครัว แต่ต้องมาจบชีวิตลงด้วย "การตรวจสุขภาพ"
ในกรณีนี้ นอกจาก "คนดีๆ" (คนที่ไม่เป็นโรคอะไร) ต้องเสียชีวิตด้วยการตรวจสุขภาพแล้ว "คนดีๆ" อีกคนหนึ่งที่ไม่เคยเป็นโรคอะไร ยังต้องล้มป่วยลงด้วยโรคจิตซึมเศร้า จากความรู้สึกผิดว่า ตนเป็นผู้รบเร้าให้พ่อไปตรวจสุขภาพจนพ่อต้องเสียชีวิต
"การตรวจสุขภาพ" ได้รับการโฆษณาชวนเชื่อมาช้านาน จนกลายเป็น "จินตนาการอันบรรเจิด" หรือ "ความฝันอันสูงสุด" ของประชาชนทั่วไปที่เข้าใจว่า ถ้าได้ตรวจสุขภาพแบบที่เขาโฆษณากันแล้ว สุขภาพของตนจะดี ไม่มีโรค และถ้ามีโรค จะได้ตรวจพบแต่เนิ่นๆ และรักษาให้หายขาดได้ ยิ่งถ้าได้ตรวจสุขภาพโดยไม่ต้องเสียเงิน หรือเสียน้อยลง (จากการ "ลดแลกแจกแถม" เช่นเดียวกับการขายสินค้าและบริการต่างๆ โดยเฉพาะช่วงเทศกาลปีใหม่) ยิ่งทำให้เกิดความอยากที่จะตรวจสุขภาพเพิ่มขึ้น
อันที่จริง การตรวจสุขภาพคือการตรวจหา "โรค" ให้แก่คนที่ไม่ใช่ผู้ป่วย หรือหาโรคเพิ่มให้แก่ผู้ป่วย จึงเป็นการ "หาเงิน" ให้แก่แพทย์และโรงพยาบาล โดยเฉพาะแพทย์และโรงพยาบาลที่มีผู้ป่วยไปให้รักษาน้อย เพราะแพทย์และโรงพยาบาลที่มีผู้ป่วยมากจนล้นมืออยู่แล้ว ไม่มีใครที่อยากจะให้บริการตรวจสุขภาพ กับใครอีก เพราะแค่งานตรวจรักษาผู้ป่วยก็แสนสาหัสอยู่แล้ว ยังจะต้องมาคอยให้บริการคนดีๆ ที่ไม่มีอาการเจ็บป่วยอีก
รัฐบาลและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่ชอบโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนมาตรวจสุขภาพ "ฟรี" จึงเป็นการเพิ่มภาระให้แก่แพทย์และโรงพยาบาล ทำให้แพทย์และโรงพยาบาลต้องใช้ทรัพยากร (ทั้งบุคคลและวัตถุ) สำหรับคนดีๆ ทั้งที่ทรัพยากรที่รัฐบาลและ สปสช. ให้ไว้นั้นก็ยังไม่เพียงพอสำหรับการตรวจรักษาผู้ป่วยเป็นจำนวนมาก แล้วยังสร้าง "ค่านิยม" ผิดๆ ให้แก่สังคมและ ประชาชนทั่วไปในเรื่องสุขภาพ เพราะสุขภาพ คือภาวะแห่งความสุข ทั้งทางกาย ทางใจ ทางจิต และทางสังคม ด้วย
"สุขภาพ" ไม่ใช่ภาวะที่ปราศจากโรค เพราะคนทุกคนย่อมมีโรค อยู่ในตนไม่มากก็น้อยเสมอ เช่น ปวดเวียนศีรษะเพราะโรคเครียด ปวดฟันเพราะโรค ฟันหรือเหงือก ปวดท้องเพราะโรคกระเพาะลำไส้หรืออาหารเป็นพิษ ตาพร่ามัวเพราะโรคสายตา เป็นต้น แต่แม้เราจะมีโรค แต่เราก็มีความสุขทั้งทางกาย ทางจิต ทางใจ และทางสังคมได้ ถ้าเราควบคุมดูแลโรค ของเราให้เราสามารถอยู่กับมันได้อย่างมีความสุข
คนที่มีโรคเบาหวาน โรคความดันเลือดสูง โรคหัวใจ/ตับ/ไต ฯลฯ ส่วนใหญ่จึงมีความสุข นั่นคือมี สุขภาพ การมีโรค จึงไม่ได้แปลว่า ไม่มีสุขภาพ หรือ สุขภาพไม่ดี
การตรวจสุขภาพ แบบที่ทำกันอยู่ทั่วไป ยังไม่มีหลักฐานใดๆ ว่าช่วยสร้างเสริมสุขภาพ แต่มักจะทำให้เกิดโรคประสาท (ความกลัวว่าจะเป็นโรค) และหาโรค ให้แก่คนดีๆ หรือทำให้คนดีๆ ต้องล้มป่วยหรือเสียชีวิตจากการตรวจและการรักษาที่ไม่จำเป็น ต่างๆ
เมื่อประมาณ ๓๐ ปีก่อน ก็มีคนดีๆ ที่ไปตรวจเช็กสุขภาพของกระเพาะลำไส้ด้วยการเอกซเรย์แบเรียม แล้วเกิดแบเรียมเป็นพิษ ทำให้คนดีๆ ๔ คน (รวมเด็กในท้องด้วยก็เป็น ๕ คน) ต้องเสียชีวิตโดยไม่จำเป็น ทำให้การตรวจสุขภาพ ซบเซาไปพักใหญ่ แต่ปัจจุบันกลับเป็นธุรกิจที่แพร่หลายและหาเงินได้อย่างมหาศาล
การตรวจสุขภาพแบบครอบจักรวาลและแบบสะเปะสะปะ จึงเป็นขยะในทางการแพทย์ และควรที่ประชาชนจะรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของธุรกิจเช่นนั้น จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของความปรารถนาดีแต่ประสงค์ร้าย ของผู้ใดเป็นอันขาด
จงดูแลสุขภาพของตนเองโดยหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และอย่าไปห่วงเรื่อง "การตรวจสุขภาพประจำปี" เลย i
- อ่าน 68,470 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้