• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

จิตอาสาพลังสร้างโลก(๕) การศึกษาและสื่อสีขาว

จิตอาสาพลังสร้างโลก(๕) การศึกษาและสื่อสีขาว


นอกจากวิชาการแล้ว เด็กจะได้เรียนเพื่อพัฒนาด้านศิลปวัฒนธรรม คุณธรรมและจริยธรรม สอดแทรกตลอดเวลา เช่น ต้องเรียนการจัดดอกไม้เพื่อฝึกให้เป็น คนมีศิลปะ จิตใจละเอียดอ่อน เข้าใจธรรมชาติ เรียนการชงชา ฝึกการล้างมือเพื่อล้างใจ ฝึกการบริการผู้อื่น ฝึกรอคอย ฝึกช่วยเหลือ ฝึกรับบริการจาก ผู้อื่นด้วยจิตใจที่ระลึกในพระคุณของผู้อื่น

โรงเรียนที่สอนคนให้เป็นมนุษย์
๑ ใน ๔ ภารกิจสำคัญของมูลนิธิพุทธฉือจี้ก็คือ การจัดการศึกษาที่มีเป้าหมายสร้างคนให้เป็นมนุษย์คือผู้มีจิตใจสูง ไม่ใช่มุ่งสอนคนให้มีแต่ความเก่งเพื่อไขว่คว้าหาโอกาสที่เหนือคนอื่นอย่างเอาเป็นเอาตาย ระดับอนุบาล ประถม มัธยม และมหาวิทยาลัย และเริ่มก่อสร้างโรงเรียนในต่างประเทศด้วย ปัจจุบันมีโรงเรียนประถมศึกษาแห่งแรกที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๔๗ โดยจัดการศึกษาตามหลักสูตรการศึกษาทั่วไป แต่เน้นสอดแทรกการเรียนการสอนและการฝึกอบรมบ่มนิสัยด้านคุณธรรมจริยธรรมอย่างจริงจังควบคู่ไปด้วย

เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๘ ผมและคณะดูงานได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมกิจการของโรงเรียนอนุบาลของฉือจี้ที่เมืองฮวาเหลียน เปิดดำเนินงานมาได้ ๕ ปี ภายใต้การดูแลของมหาวิทยาลัยฉือจี้ โรงเรียนของเขามีเป้าหมาย ๔ ประการ คือ

๑. สร้างนักเรียนให้มีวิสัยทัศน์ก้าวไกลถึงระดับสากล

๒. เป็นผู้มีคุณธรรมจริยธรรม

๓. เป็นผู้มีวัฒนธรรมที่ดีงาม

๔. มีทักษะการทำงานและทักษะชีวิต

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายข้างต้น เขาเน้นปลูกฝัง ๕ ด้าน คือ

๑. การดำเนินชีวิตประจำวันที่เรียบง่าย

๒. ฝึกให้เป็นผู้มีคุณธรรมในการใช้ชีวิตที่ถูกต้อง มีความรักในผู้อื่นเหมือนเป็นญาติพี่น้องร่วมครอบครัวเดียวกัน

๓. ให้รู้จักบริการผู้อื่นอย่างนอบน้อมถ่อมตน ให้เกียรติผู้อื่น

๔. ให้รู้จักขอบคุณสิ่งที่เกิดขึ้นและทุกสิ่งที่เข้ามาใน ชีวิต รู้จักสำนึกในบุญคุณของคนอื่นและสรรพสิ่งรอบตัว

๕. ให้มีทักษะที่จำเป็นในการดำรงชีวิตและการทำงานในอนาคต

บริเวณโรงเรียนอนุบาลที่ไปดูงาน จัดสถานที่สวยงาม สะอาด เป็นระเบียบมาก นักเรียนมีระเบียบวินัยดีมาก เวลาถอดรองเท้าเข้าห้อง ทุกคนจะจัดเรียงรองเท้า อย่างเป็นระเบียบ หันหัวรองเท้าออกแบบสไตล์ญี่ปุ่น ทุกตึกจะมีห้องอเนกประสงค์ให้นักเรียนได้ทำกิจกรรม มีห้องเรียน ห้องสมุด ห้องปฏิบัติธรรม ห้องจัดดอกไม้ ห้องชงชา มีสวนครัว สวนเกษตร มีพื้นที่สำหรับฝึกฝนกีฬาทั้งในร่มและกลางแจ้ง มีหอพัก ฯลฯ เรียกว่าในเชิงสถานที่และอุปกรณ์มีอย่างครบครัน เด็ก ป.๑ ได้เริ่มเรียนภาษาอังกฤษแล้ว พอถึง ป.๓ ได้เรียนภาษาอังกฤษ ๔ ชั่วโมงต่อสัปดาห์

นอกจากการเรียนวิชาการ เด็กจะได้เรียนเพื่อพัฒนาด้านศิลปวัฒนธรรม คุณธรรมและจริยธรรม สอดแทรกตลอดเวลา เช่น ต้องเรียนการจัดดอกไม้เพื่อฝึกให้เป็นคนมีศิลปะ จิตใจละเอียดอ่อน เข้าใจธรรมชาติ เรียนการชงชา ฝึกการล้างมือเพื่อล้างใจ ฝึกการบริการผู้อื่น ฝึกรอคอย ฝึกช่วยเหลือ ฝึกรับบริการจากผู้อื่นด้วยจิตใจที่ระลึกในพระคุณของผู้อื่น สิ่งสำคัญมากอีกอย่างหนึ่งที่เด็กนักเรียนทุกคนจะได้ฝึกฝนควบคู่ไปกับการเรียนวิชาการตามหลักสูตรก็คือ การฝึกเป็นอาสาสมัครซึ่งมีสารพัดรูปแบบ เช่น ฝึกเป็นอาสาสมัครจิ๋วเก็บขยะ แยกขยะ ไปเยี่ยมผู้ยากไร้ ช่วยกันทำความสะอาดโรงเรียน บริการซักผ้าให้เพื่อน ให้น้อง ให้ครู นักเรียนคนไหนเรียนดี มีนิสัยดีจะได้รับมอบหน้าที่ ตักอาหารบริการครู นักเรียนที่ได้รับหน้าที่นี้จะดีใจมาก เวลานักเรียนนำอาหารไปบริการครู ครูจะยกมือไหว้ขอบคุณ นอกจากนี้ ยังได้มีโอกาสล้างส้วม ใครที่ได้รับหน้าที่ล้างส้วมจะดีใจมากเพราะถือว่าจะต้องทำดีจึงจะได้รับมอบหน้าที่นี่ การฝึกอบรมเช่นนี้มีผลทำให้เด็กนักเรียนไม่รังเกียจงานใช้แรงงานงานสกปรก ซึ่งตรงข้ามกับการสร้างทัศนคติในบ้านเมืองเรา ในช่วงหยุดเทอมเด็กนักเรียนจะได้มีโอกาสไปเข้าค่ายที่สมณารามเพื่อเรียนรู้วัฒนธรรมและได้ทำงานอาสาสมัครด้วย

ตอนที่ผมและคณะเดินดูงานอยู่ในโรงเรียน สังเกตเห็นแผ่นโปสเตอร์ที่วาดรูปศิลปะสวยงามมีคำอธิบายสั้นๆ เป็นภาษาจีนติดอยู่ตามทางเดินเป็นระยะๆ สอบถามครูได้ความว่า เป็นโฉลกติดสอนเด็ก ทุกๆ ที่มีโปสเตอร์ติดอยู่จะมีกระดาษวาดเขียนวางไว้ให้เด็กนักเรียนวาดรูปหรือเขียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระหลังจากที่ได้ดูภาพได้อ่านข้อความเหล่านั้น โดยเขาจะเปลี่ยนโฉลกไปเรื่อยๆ คล้ายจัดนิทรรศการเป็นครั้งคราว โฉลกที่ติดไว้ในช่วงนั้นประกอบด้วยคำ ๘ คำ ที่ล้วนเกี่ยวข้องกับคำว่า "ความเรียบง่าย" สรุปความรวมได้ว่า "ความเรียบง่าย คือ ความงดงาม" ภาพที่วาดแต่ละภาพได้มาจากศิลปินที่มีชื่อเสียง มีจิตอาสามาวาดให้ พร้อมเขียนคำอธิบายเพื่อให้เด็กได้ อ่าน ได้ซึมซับคำสอนดีๆ จากภาพเหล่านั้นโดยไม่มีการบังคับสอนบังคับเรียนเพื่อให้คะแนน แต่เป็นการจัดสิ่งแวดล้อมเพื่อให้อิสระแก่นักเรียนในการเลือกเรียนตามใจชอบ มีโปสเตอร์อยู่แผ่นหนึ่งเขียนว่า
"เมื่อรู้จักตนเอง ต้องรู้จักคนอื่นด้วย" พร้อมกับเขียนอธิบายประกอบภาพว่า "ฉันเป็นคนที่เกิดในไต้หวัน มีความสุขสบายดี พ่อแม่รักเรา ครูก็รักเรา ได้เรียนดี เราได้อยู่ในสังคมดีเพราะเรารู้จักให้ความรักแก่คนอื่น รู้จักรักตนเองและรักคนอื่น สังคมก็จะงดงาม ชีวิตก็จะเต็มไปด้วยความหวัง" นี่เป็นตัวอย่างของศิลปะการสอนวัฒนธรรม คุณธรรม จริยธรรม ให้แก่นักเรียนด้วยเทคนิคเชิงบวกอย่างแยบยล นั่นเป็นสิ่งที่ผมได้สัมผัสอย่างผิวเผินในโรงเรียนของฉือจี้

สถานีโทรทัศน์สีขาว
ในขณะที่บ้านเรา ประชาชนเรียกร้องอยากได้สถานีโทรทัศน์ที่ส่งสารดีๆ ให้ประชาชนเพื่อพัฒนาสติปัญญา คุณธรรม จริยธรรมในสังคม แทนที่จะปล่อยให้ระบบทุนและอำนาจยึดไปใช้ประโยชน์เพื่อการค้าและการเมืองมอมเมาประชาชนอย่างไม่ลืมหูลืมตาอยู่นั้น ที่ไต้หวันเขาไปไกลกว่าบ้านเรามาก ที่นั่นเขามีโทรทัศน์เกือบ ๑๐๐ ช่อง มีหลากหลายรูปแบบให้ประชาชนมีทางเลือกในการรับสาร ไม่ใช่มัดมือชกแบบของเรา เฉพาะสถานีโทรทัศน์ที่เผยแพร่เชิงศาสนาก็มีมากถึง ๖ ช่อง มูลนิธิฉือจี้ก็มีสถานีโทรทัศน์ของตนเอง ชื่อว่าสถานีโทรทัศน์ต้าอ้าย (สถานีโทรทัศน์แห่งความรักอันยิ่งใหญ่) ผมและคณะได้มีโอกาสไปชมสถานีโทรทัศน์ต้าอ้ายมาแล้ว ตัวสถานีก่อสร้างเป็นอาคารใหญ่โตสง่างามมาก ใช้งบประมาณก่อสร้างหลายร้อยล้านเหรียญ (๑ เหรียญกับ ๑.๒๐ บาท) โดยเงิน ๑ ใน ๔ มาจากรายได้จากรีไซเคิลขยะของเครือข่ายฉือจี้ที่ไต้หวัน นอกนั้นเป็นเงินบริจาคที่ประชาชนร่วมสมทบ ทำให้สถานีโทรทัศน์แห่งนี้เป็นของมหาชนอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่เป็นบริษัทมหาชนแบบทุนนิยม
การดำเนินงานสถานีโทรทัศน์ใช้มืออาชีพทำงานร่วมกับอาสาสมัครที่มีความรู้ความสามารถด้านนี้โดยตรง โดยมีเป้าหมายการพัฒนามาตรฐานการทำงานให้เทียบได้กับ CNN และ BBC ปัจจุบันแพร่ภาพวันละ ๖ ช่วงเวลาไปทั่วไต้หวันและส่งสัญญาณภาพไปยังประเทศต่างๆ เกือบจะทั่วโลกด้วย ใช้ค่าบริหารจัดการเดือนละหลายร้อยล้านเหรียญ ซึ่งได้เงินจากที่ผู้ชมและสมาชิกฉือจี้บริจาคให้และบางส่วนได้มาจากขยะรีไซเคิล ไม่มีโฆษณาสินค้าใดๆ ทั้งสิ้น



รายการที่ต้าอ้ายทำมุ่งเน้นเผยแพร่เรื่องราวทางบวกที่หลากหลาย ไม่นำเสนอเรื่องความรุนแรง การมอมเมาทางวัตถุนิยม บริโภคนิยม หรือเรื่องเลวร้ายต่างๆ แต่จะเผยแพร่เรื่องเชิงคุณธรรม เรื่องราวของชีวิตคนที่ทำดีปฏิบัติดีด้วยละคร ดนตรี นิทาน เพลงและรูปแบบอื่นๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องดีๆ เพื่อเสริมสร้างกำลังใจให้คนทำดี สร้างความประทับใจในสิ่งดีงาม ล่าสุดปี พ.ศ. ๒๕๔๘ นี้ สถานีโทรทัศน์ต้าอ้ายได้รับการโหวตจากคนไต้หวันให้เป็นสถานีโทรทัศน์ช่องที่มีอิทธิพลต่อชีวิตมากที่สุด รายการโทรทัศน์ของต้าอ้าย พระเดิมแท้ ชาวหินฟ้า ท่านยกตัวอย่างให้ฟังว่ามีรายการดีๆ ทั้งนั้น ท่านอยู่ไต้หวันหลายปี ดูแล้วต้องเสียน้ำตาหลายครั้ง เช่น

  • รายการวิเคราะห์ข่าวเชิงธรรมะ
  • รายการการ์ตูนสอนเด็กให้ดูดซึมธรรมะอย่างแยบยล
  • รายการรักถนอมสิ่งแวดล้อม
  • รายการนำเสนอระบบภาษามือที่ฉือจี้คิดค้นขึ้น เพื่อเป็นชุดความรู้นำไปแสดงเพื่อสื่อภาษาเงียบให้คนต่างภาษาได้เข้าใจ
  • รายการละครชีวิต มุ่งให้ผู้ชมเกิดความประทับใจในความดีงามโดยเชื่อมั่นว่า "ขอเพียงได้ชมแล้วเกิดความประทับใจเพียงประโยคเดียวก็สามารถเปลี่ยนชีวิตคนได้"*
  • รายการสารคดีตัวอย่าง โดยเลือกชีวิตอาสาสมัครชาวบ้านมาถ่ายทำเป็นสารคดีตอนสั้นๆ นำเสนอให้เห็นชีวิตโพธิสัตว์ ชาวบ้านทำให้ผู้ชมที่เป็นประชาชนทั่วไปเกิดความประทับใจและเป็นกำลังใจให้อาสาสมัคร ฉือจี้หลายแสนคนทั่วโลก ได้เกิดความมุ่งมั่นในสำนึกเมตตาสงเคราะห์แบบฉือจี้ เพื่อออกไปช่วยเหลือบรรเทา ทุกข์ผู้คนที่เดือดร้อนอย่างสุดหัวจิตหัวใจ
  • รายการอมตะพจน์คนดังมังสวิรัติ นำเสนอข้อคิดของบุคคลสำคัญในโลกทั้งอดีตและปัจจุบัน เช่น โสเครตีส คานธี แม่ชีเทเรซ่า เป็นต้น ที่ทำให้มองเห็นสังคมว่า ถ้ามนุษย์ไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ด้วยการละเว้นอาหารเนื้อสัตว์ นอกจากจะช่วยด้านสุขภาพแล้ว ยังเป็นแนวทางสู่สันติภาพที่ทุกคนปรารถนาด้วย เป็นต้น

อาจารย์สุมน อมรวิวัฒน์ ผู้อาวุโสที่ร่วมไปกับคณะดูงานด้วยเห็นการทำงานของสถานีโทรทัศน์ต้าอ้ายแล้ว ท่านขนานนามสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ว่า "สถานีโทรทัศน์สื่อมวลบุญ" เพราะทำหน้าที่เผยแพร่และสร้างบุญกุศลไปทั่วโลก 

* หลังจากกลับมาจากดูงานที่ไต้หวัน ผมได้มีโอกาสรู้จักกับคุณยงเกียรติ เกียรติเสริมสกุล นักธุรกิจไทยคนหนึ่ง คุณยงเกียรติเพิ่งร่วมกิจกรรมกับฉือจี้ที่เมืองไทยได้แค่ปีเศษ คุณยงเกียรติเล่าให้ผมฟังว่า รู้จักฉือจี้โดยบังเอิญจากเหตุที่บ้านซื้อโทรทัศน์ใหม่แล้วติดจานดาวเทียมใหม่ วันหนึ่งเปิดไปเจอรายการของสถานีโทรทัศน์ต้าอ้ายก็ลองดู เนื่องจากฟังภาษาจีนออก พอดูๆ ไปชักแปลกใจว่า มีรายการโทรทัศน์ดีๆ อย่างนี้ด้วยหรือ มีคำสอนดีๆ ง่ายๆ ของธรรมาจารย์ มีการนำเสนอเรื่องราวดีๆ การทำความดีของคนทุกระดับ จึงเกิดแรงบันดาลใจว่าจะต้องไปไต้หวันเพื่อเรียนรู้เรื่องนี้ ขณะนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในเมืองไทยก็มีสาขาของฉือจี้ จากวันนั้นจนถึงวันนี้ คุณยงเกียรติกลายเป็นอาสาสมัครคนหนึ่งของฉือจี้ไปแล้ว คุณยงเกียรติเล่าว่าเดี๋ยวนี้เพื่อนฝูงทักว่าเปลี่ยนนิสัยไปเหมือนคนละคนปล่อยวางธุรกิจให้ลูกๆทำ หันมาสนใจผู้อื่น ทำงานช่วยเหลือผู้คนเข้าใจคนอื่นมากขึ้น ที่เคยใจร้อนไม่ยอมใครเดี๋ยวนี้กลายเป็นน้ำเย็นไปเลย

ข้อมูลสื่อ

326-024
นิตยสารหมอชาวบ้าน 326
มิถุนายน 2549
นพ.อำพล จินดาวัฒนะ