ไคโตซานและสารสกัดจากส้มแขกช่วยลดน้ำหนักได้อย่างไร ?
ใครๆ ก็รู้ว่าถ้ากินมาก แต่หากเคลื่อนไหวร่างกายและออกกำลังน้อย จะทำให้ร่ำรวยไขมัน ทำให้อ้วน ความสวยความหล่อลดลง เจ็บป่วยและเกิดโรคได้ง่าย แล้วคนส่วนใหญ่ก็มักแพ้ใจตัวเอง ซึ่งยิ่งแพ้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งอ้วนมากขึ้นเท่านั้น และเมื่ออ้วนแล้วการจะลดน้ำหนักให้ผอมลงเท่าเดิมหรืออยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เกือบจะกลายเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในชีวิตของคนหลายๆ คน ดังนั้นจึงมีผู้คิดค้นผลิตภัณฑ์ เครื่องมือ หรืออุปกรณ์นานาชนิด ที่จะช่วย (คนใจอ่อน) ลดไขมันส่วนเกินในร่างกาย ล่าสุดสารจากธรรมชาติ ๒ ชนิด (ที่ยังสรุปไม่ได้ว่าเป็นยา เป็นอาหาร หรืออาหารเสริม) ที่ชื่อไคโตซานและส้มแขก ถูกกล่าวถึงอย่างมากในแวดวงคนอยากผอม ในรูปแบบของสารสกัดบรรจุแคปซูลช่วยลดความอ้วน ซึ่งมีราคาสูงพอสมควรสำหรับคนทั่วไป แต่เรื่องแบบนี้สำหรับคนอ้วนที่ต้องการลดน้ำหนักไม่ค่อยเกี่ยงหรือ เสียดายเงินอยู่แล้ว ถ้าหากว่าได้ผลดีจริงตามที่โฆษณา
ไขมันส่วนเกินมาจากไหน
ตามปกติไขมันส่วนเกินในร่างกายคนเราจะมาจาก ๒ ทาง คือ
หนึ่ง จากการกินอาหารไขมันเข้าไปโดยตรง
สอง มาจากการสะสมของอาหารทั้งพวกเนื้อสัตว์ พวกแป้ง น้ำตาล และไขมันที่กินเกินจนร่างกายใช้ไม่หมด ก็จะสะสมเป็นไขมันอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย
ตรงนี้คงจะต้องขยายความสักนิด เพื่อให้ผู้อ่านทุกท่านสามารถเข้าใจกระบวนการทำงานของร่างกายได้ดีขึ้น นั่นคือ เมื่อเรากินอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล (ซึ่งให้พลังงานหรือเปรียบได้กับเชื้อเพลิงชีวิต) เข้าไป ร่างกายก็จะเปลี่ยนแป้งและน้ำตาล เป็นน้ำตาลกลูโคส ซึ่งเป็นน้ำตาลตัวเล็กๆ โมเลกุลเดียวที่ง่ายต่อการขนส่งไปสู่เซลล์ต่างๆ เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงาน ถ้าใช้ไม่หมดในแต่ละวัน กลูโคสจะถูกเปลี่ยนไปเป็นสารอีกตัวหนึ่งชื่อ ไกลโคเจน แล้วเก็บสะสมไว้เป็นพลังงานในกล้ามเนื้อและตับ ประมาณร้อยละ ๕ ของพลังงานจากอาหารที่ร่างกายได้รับในแต่ละวัน จะเก็บไว้ในรูปของไกลโคเจน ส่วนที่เหลือทั้งหมดก็จะเก็บไว้ในรูปของไขมัน
ก่อนจะเสียเงินต้องคิดให้รอบคอบ
เมื่อไม่สามารถควบคุมน้ำหนักได้ด้วยตนเอง คนอ้วนที่อยากผอมจำนวนไม่น้อยจึงต้องไปพึ่งเฮลท์คลับ พึ่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารลดไขมันนานาสารพัดชนิดที่โฆษณาชวนเชิญอย่างน่าทดลอง น่าซื้อหามาใช้ ซึ่งสถานบริการ หรือผลิตภัณฑ์ช่วยลดไขมันส่วนใหญ่ จะคิดค่าบริการและราคาค่อนข้างแพง และกว่าที่จะลดน้ำหนักลงได้สักกิโลสองกิโล บางคนหมดเงินไปเป็นจำนวนมาก (ซึ่งคนอ้วนมีสตางค์ส่วนใหญ่ก็ยอมเสีย) ใครว่าอะไรดี ซื้อมาใช้ ซื้อมาทดลองหมด ช่วงนี้ผลิตภัณฑ์ช่วยลดไขมันที่มีส่วนผสมของสารไคโตซาน และสารสกัดจากผลส้มแขกกำลังฮือฮาเป็นที่รู้จักกันทั่วไป โฆษณาจากสื่อต่างๆมักทำให้คนส่วนใหญ่คิดว่า เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้แล้วไขมันจะลดลงได้อย่างน่าพอใจ หลายๆคนจึงอยากจะทดลองใช้ดูบ้าง
"หมอชาวบ้าน" จึงได้ไปขอคำแนะนำจากผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วลัยทิพย์ สาชลวิจารณ์ ซึ่งท่านเป็นอาจารย์อยู่ที่ ภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว และได้ข้อคิดดีๆ มาฝากคุณผู้อ่านด้วย อาจารย์วลัยทิพย์เล่าว่า "ดิฉันรู้จักสาร ๒ ตัวนี้ใน ๒ ลักษณะ คือ สำหรับไคโตซานในฐานะที่ทำงานทางด้านโภชนาการ ก็พยายามติดตามอ่านรายงานการวิจัยต่างๆ แต่ว่าไม่เคยทำงานวิจัยด้วยตนเอง ส่วนผลส้มแขกนั้นเคยเป็นหนึ่งในผู้ทดลองให้กับงานวิจัย เพื่อที่จะต้องการพิสูจน์ด้วยตนเอง เพราะฉะนั้น ๒ กรณีนี้ คือไคโตซานก็จะเล่าให้ฟังจากการที่ได้ติดตามอ่าน ส่วนส้มแขกก็จะเล่าให้ฟังในฐานะที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้ถูกทดลองให้กินในงานวิจัย เป็นเวลาถึง ๓ เดือน"
อาจารย์วลัยทิพย์กล่าวว่า "สารไคโตซานมีคุณสมบัติในการดักจับไขมันในร่างกายได้จริง แต่เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น ไม่ใช่ไขมันทั้งหมดอย่างที่หลายคนเข้าใจ หรือที่เคยเห็นโฆษณาในโทรทัศน์ ที่แสดงให้เห็นถึงความมหัศจรรย์ของไคโตซาน ที่สามารถรวมตัวกับไขมันที่ลอยอยู่เหนือน้ำได้ทั้งหมดนั้น ซึ่งความจริงไม่ใช่ ในร่างกายของคนเราจะมีไขมันอยู่หลายชนิด และกลไกการทำงานของอวัยวะต่างๆในร่างกายก็ซับซ้อนกว่า ไคโตซานทำให้ไขมันบางชนิดเท่านั้นไม่ถูกดูดซึม แต่ไม่ใช่ไขมันทั้งหมดไม่ถูกดูดซึม รู้สึกตอนนี้ทาง อย. ก็ได้ระงับการโฆษณาชุดหนึ่งไปแล้ว เพราะว่าดูแล้วมันเกินความจริง คือ ไคโตซานจะทำปฏิกิริยาหรือดักจับไขมันจากอาหารก่อนการย่อยในกระเพาะอาหารเท่านั้น แต่จะไม่รวมตัวกับไขมันที่ถูกสะสมไว้แต่เดิม เพราะฉะนั้นถ้าหากไม่ใช้ไขมันส่วนเกินนี้ไปกับการออกกำลังกายในแต่ละวัน ไขมันที่ห้อยย้อยอยู่ตามหน้าท้อง แขน ขา หรือสะโพกก็ยังคงอยู่เท่าเดิม
"สำหรับสารสกัดจากผลส้มแขก เผอิญได้มีส่วนร่วมในการวิจัยเกี่ยวกับผลส้มแขก คือ เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์จากสารส้มแขกเป็นเวลากว่า ๓ เดือน โดยที่เขาให้ผู้ทดลองกินอาหารตามปกติ แล้วมีการชั่งน้ำหนัก วัดความดันเลือด และวัดไขมันใต้ผิวหนังทุกสัปดาห์ ตัวเลขที่ได้ ค่าเฉลี่ยของไขมันที่ลดลงน้อยมากค่ะ เรียกว่าไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ กรณีที่มีข่าวหรือมีการโฆษณาว่าใช้ผลิตภัณฑ์จากผลส้มแขกแล้วไขมันลดลงมาก หรือว่าเอวเล็กลง ๓-๔ นิ้ว ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์นั้น คิดว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอาจจะเป็นกำลังใจ แต่ว่าขณะเดียวกันท่านคงทำอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย แล้วก็ผลของผลิตภัณฑ์ที่กินเข้าไป ซึ่งจะทำให้มีการขับถ่ายบ่อย เพราะสารสกัดจากผลส้มแขกจะมีคุณสมบัติคล้ายๆ มะ-ขามเปียก คือ ให้รสเปรี้ยว ขณะเดียวกันก็ช่วยให้อาหารผ่านลำไส้เร็วขึ้น (คือถ่ายท้องมากกว่าปกติ) ดังนั้นเมื่อกินสารสกัดจากผลส้มแขกตามที่ระบุในสลาก คือ วันละ ๓ เวลา ก่อนอาหาร ๑ ชั่วโมง ก็จะทำให้ถ่ายบ่อย เมื่อถ่ายท้องบ่อยๆ ร่างกายก็ดึงเอาไขมันบางส่วนออกไปด้วย อยากจะบอกว่าถ้าต้องการใช้สิ่งเหล่านี้เสริมในการลดน้ำหนัก ควบคู่ไปกับการควบคุมอาหารและออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ ก็จะได้ผลดีค่ะ แต่ที่ต้องคำนึงถึง ก็คือ ไม่มียาอะไรที่ดีหรือให้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ว่าจะแพงขนาดไหนก็ตาม ซึ่งหากไม่ควบคุมอาหารการกินแล้วก็จะไม่ได้ผลค่ะ"
ลดไขมันแบบประหยัด
น่าแปลกที่คนเรามักจะทำอะไรที่เป็นลักษณะใกล้เกลือกินด่างอยู่เสมอๆ อย่างในเรื่องของการลดน้ำหนักก็เช่นกัน ส่วนใหญ่ต้องหันไปพึ่งสถานบริการ และผลิตภัณฑ์ประเภทเสริมอาหารชนิดต่างๆ โดยที่หลายคนอาจมองข้ามความสำคัญของผักและผลไม้ไปอย่างน่าเสียดาย หารู้ไม่ว่าการกินผักและผลไม้เป็นประจำทุกวัน นอกจากจะทำให้ร่างกายสดชื่นและแข็งแรงแล้ว ผลดีอีกอย่างคือ ทำให้ไม่อ้วน ไขมันสะสมน้อย เรื่องนี้อาจารย์วลัยทิพย์มีความเห็นว่า "เส้นใยหรือไฟเบอร์จากพืช ผัก ผลไม้ ช่วย ลดน้ำหนักได้ดีค่ะ เพราะเส้นใยจากผักผลไม้จะมีจำนวนมาก จึงทำให้ลำไส้มีการเคลื่อนไหว ทำให้เราถ่ายอุจจาระทุกวัน ทำให้ร่างกายได้ใช้น้ำดีทุกวัน ซึ่งน้ำดีจะสร้างมาจากโคเลสเตอรอล นั่นแปลว่า ร่างกายต้องใช้โคเลสเตอรอลทุกวัน ไม่เหลือเก็บมากนัก นี่เป็นกระบวนการลดไขมันตามธรรมชาติในร่างกายค่ะ แล้วผักผลไม้นั้น เรากินสดๆ ได้เลย ส่วนไคโตซานหรือสารสกัดจากผลส้มแขก ต้องผ่านกระบวนการในการผลิตหลายขั้นตอน เลยทำให้ราคาแพงมาก(เป็นพันบาท) อาจารย์คิดว่าถ้าเผื่อเรากินผักผลไม้มากๆทุกวัน จะอ้วนยาก แล้วไม่จำเป็นต้องดิ้นรนซื้อยาต่างๆมากินเลย จริงๆแล้วไม่มีอะไรดีเท่ากับการปรับเปลี่ยนนิสัยการกินอาหารของตัวเองค่ะ"
มาถึงบรรทัดนี้คิดว่าคุณผู้อ่านคงจะเข้าใจดีขึ้น ว่าถ้าเผื่อจะใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ เพื่อลดความอ้วนนั้น จะใช้อย่างไรจึงจะได้ผลตามที่ต้องการ หรือถ้าหากไม่อยากจะเสียเงินมากๆ เพื่อการนี้ ก็ยังมีทางเลือกอื่นๆให้ลองปฏิบัติดู บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาที่จะต่อต้านผลิตภัณฑ์ช่วยลดประเภทต่างๆในท้องตลาด แต่ในฐานะสื่อมวลชนแขนงหนึ่ง "หมอชาวบ้าน" ก็อยากจะให้ประชาชนผู้บริโภคทั้งหลายได้รับประโยชน์จากการใช้จ่ายให้คุ้มค่ามากที่สุด และได้รับทราบความจริงในเรื่องต่างๆที่กำลังถูกกล่าวถึงให้มากที่สุด เพื่อที่เราทุกคนจะได้ไม่เชื่อแต่โฆษณา ดังที่มีผู้กล่าวว่า "นักโฆษณา" ก็คือคนที่รู้จักเลือกพูดความจริงเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการเฉพาะบางส่วนที่ดีเท่านั้น
ไคโตซาน คืออะไร
ไคโตซาน คือ สารธรรมชาติชนิดหนึ่งที่มีในสัตว์กระดองแข็งและขาเป็นปล้อง เช่น เปลือกกุ้ง กั้ง และกระดองปู ซึ่งเมื่อนำมาสกัดแยกเอาแคลเซียม โปรตีน และแร่ธาตุที่ไม่ต้องการออกไป ก็จะได้สารสำคัญที่มีโครงสร้างทางเคมีคล้ายเซลลูโลส เรียกว่า "ไคติน" (chi-tin) และเมื่อนำไคตินผ่านกระบวนการทางเคมีอีกครั้ง ก็จะได้สารที่เรียกว่า "ไคโตซาน"
ไคโตซาน (chitosan) เป็นสารธรรมชาติที่รู้จักกันมานานกว่า ๑๐๐ ปีแล้ว แต่ไม่ได้มีการศึกษาเพื่อนำมาใช้ จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ได้มีการรวมตัวกันของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก เพื่อศึกษาเกี่ยวกับคุณสมบัติของสารตัวนี้ ซึ่งคุณสมบัติพื้นฐานของไคโตซาน ที่นักวิทยาศาสตร์ต่างศึกษาออกมาได้ผลตรงกัน คือ ไคโตซานเป็นสารที่มีประจุบวก จึงสามารถดักจับไขมันต่างๆที่เป็นประจุลบได้ โดยมีการทดลองใช้สารไคโตซานครั้งแรกในการบำบัดน้ำเสียแบบชีวภาพที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งหลังจากนั้นไคโตซานก็ได้เข้าไปมีบทบาทในวงการอุตสาหกรรมหลายสาขา
ไคโตซาน : สารสารพัดประโยชน์
สารไคโตซาน นอกจากจะมีคุณสมบัติโดดเด่นทางเคมี คือ มีประจุบวกช่วยในการดักจับไขมันต่างๆแล้ว ไคโตซานยังมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อราและแบคทีเรียด้วย ไคโตซานมีหลายรูปแบบ อาทิเช่น เป็นเส้นใย เป็นแผ่นฟิล์ม เป็นผงฝุ่น เป็นเจล หรือเป็นเสมือนฟองน้ำ ซึ่งสามารถนำไปดัดแปลงใช้กับผลิตภัณฑ์นานาชนิดที่จะมีประโยชน์ต่อคุณภาพชีวิตของคน ตัวอย่างเช่น ในแวดวงความสวยงามหรือวงการเครื่องสำอาง จะใช้ไคโตซานเป็นสารเติมแต่งและเป็นสารพื้นฐานของมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ โลชั่น แชมพู ยาทาเล็บ ครีมกันแดด ลิปสติก ครีมรองพื้น อาแชร์โดว์ ครีมนวดผม สบู่อาบน้ำ น้ำยาบ้วนปาก ยาสีฟัน ว่ากันว่าในอนาคตสารไคโตซานจะเป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอางเกือบทุกชนิดเลยทีเดียว
ในทางการแพทย์ สารไคโตซานมีคุณสมบัติในการช่วยห้ามเลือด ช่วยดูดซับน้ำเหลือง จึงทำให้บาดแผลต่างๆหายเร็วขึ้น ใช้ทำเส้นไหมสำหรับเย็บแผลผ่าตัด ช่วยลดปัญหาการแพ้ การระคายเคือง ที่อาจจะเกิดจากการใช้เส้นไหมที่ทำจากสารสังเคราะห์ได้เป็นอย่างดี หรือใช้ทำผิวหนังเทียมเพื่อรักษาคนไข้แผลผิวหนังไหม้รุนแรง รักษาเหงือกและฟัน ในด้านการเกษตร จะนำสารไคโตซานมาทำปุ๋ยชีวภาพ เพื่อช่วยในการเจริญเติบโตของต้นไม้และพืชผักต่างๆ เพราะไคโตซานมีองค์ประกอบของไนโตรเจนอยู่ด้วย หรือใช้หุ้มเมล็ดพันธุ์พืชเพื่อยืดอายุการเก็บให้นานขึ้น ในด้านอุตสาหกรรมสิ่งทอและกระดาษ จะใช้ไคโตซานผสมในเส้นใยเพื่อเสริมความแข็งแรงและ ความเหนียวให้แก่เส้นใย และเยื่อกระดาษ ในด้านสิ่งแวดล้อม จะใช้ไคโตซานดักจับคราบไขมัน หรือโลหะหนักบางส่วนจากน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ทำให้น้ำเสียสะอาดขึ้น
บิดาแห่งไคโตซาน
ที่จริงเรื่องของไคโตซานนี้ได้มีนักวิทยาศาสตร์ในประเทศต่างๆ เช่น ยุโรป และอเมริกา ทำการศึกษาวิจัยกันมากมาย แต่ศาสตราจารย์ ดร.ชิกิฮิโร่ ฮิราโน่ (Prof. Shigehiro Hirano) จากมหาวิทยาลัยโตเกียว เป็นนักเคมีชาวญี่ปุ่นที่ทำการศึกษาวิจัยเรื่องไคตินไคโตซานอย่างจริงๆจังๆ มานานเกือบตลอดชีวิต กว่า ๒๐๐ งานวิจัย เขาจึงได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งไคโตซาน ดร.ฮิราโน่กล่าวว่า ถึงแม้เขาจะทำงานวิจัยเรื่องไคโตซานมามาก แต่สารธรรมชาติชนิดนี้ก็ยังเป็นสิ่งมหัศจรรย์สำหรับเขาอยู่เสมอ เพราะทุกๆครั้งที่ทำการวิจัย เขาก็จะพบคุณสมบัติและประโยชน์ใหม่ๆของไคโตซานอยู่เรื่อยๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อคน สัตว์ พืช และสิ่งแวดล้อม
ไคโตซานกับการประยุกต์ใช้ในเมืองไทย
ถึงแม้ประเทศต่างๆทั่วโลก จะมีการนำสารไคโตซานมาใช้กว่า ๒๐ ปีมาแล้ว แต่สำหรับประเทศไทย เราเพิ่งจะให้ความสนใจกับสารตัวนี้เมื่อประมาณ ๒ ปีที่แล้วนี่เอง (ทั้งที่มีการศึกษาวิจัยมานานกว่า ๑๐ ปี) และเมื่อไม่นานมานี้ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะ และวัสดุแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ร่วมกับชมรมไคตินไคโตซาน จัดบรรยายพิเศษทางวิชาการเรื่อง "การประยุกต์ใช้อย่างกว้างของสารไคตินไคโตซาน จากอดีต ปัจจุบัน สู่อนาคต" โดยเชิญศาสตราจารย์ ดร.ชิกิฮิโร่ ฮิราโน่ มาเป็นผู้บรรยาย ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยอย่างมาก เพราะประเทศไทยส่งออกกุ้งแช่แข็งติดอันดับโลก และมีขยะจากเปลือกกุ้ง เปลือกปู ที่เหลือทิ้งจากการนี้มากมาย นำไปขายเป็นอาหารสัตว์กิโลกรัมละไม่กี่บาท แต่ถ้านำมาแปรรูปเป็นสารไคตินไคโตซานแล้ว จะมีราคาถึง ๕,๐๐๐ บาทต่อกิโลกรัมทีเดียว น่าเสียดายที่ไม่มีหน่วยงานใดให้ความสำคัญนำไปใช้อย่างจริงจัง ก็หวังว่าในอนาคตถ้าหากนักวิทยาศาสตร์ไทย สามารถที่จะนำเอาของเหลืออย่างเปลือกปู เปลือกกุ้ง ที่มีอยู่อย่างมากมายมหาศาลหลายล้านตันต่อปีมาสกัดเป็นไคโตซานที่บริสุทธิ์ได้ ก็จะทำเงินให้ประเทศชาติปีหนึ่งไม่ใช่น้อยๆเลย
ไคโตซานช่วยลดไขมันได้อย่างไร
ไคโตซาน เป็นสารธรรมชาติที่มีคุณสมบัติในการดักจับไขมัน จึงมีการนำมาบรรจุแคปซูลเพื่อช่วยคนอ้วนลดไขมันส่วนเกิน นั่นคือ เมื่อกินสารไคโตซานเข้าไปพร้อมอาหาร มันจะไปเกาะกับไขมันบางตัว ทำให้เกิดการรวมกลุ่มและไม่ถูกย่อยสลาย ร่างกายจึงไม่สามารถดูดซึมนำไขมันไปใช้ได้ สุดท้ายไขมันก็จะถูกขับถ่ายออกมาพร้อมกับอุจจาระ โดยไม่เป็นอันตรายและไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะมีราคาค่อนข้างแพง
ส้มแขก
ผลส้มแขก เป็นพืชในสกุลการ์ซีเนีย มีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า การ์ซีเนีย ไฮดรอกซี ซิตริก แอซิด (Garcinia Hydroxy Citric Acid : HCA) ผลไม้ในสกุลนี้ส่วนใหญ่จะมีรสชาติค่อนข้างเปรี้ยว (มะขามเปียก ส้มป่อย) เพราะมีกรดผลไม้อยู่เป็นจำนวนมาก เช่น citric acid, tartaric acid, malic acid เป็นต้น ส้มแขกมีต้นกำเนิดมาจากประเทศอินเดีย ศรีลังกา และพบได้ทั่วไปในป่าประเภทร้อนชื้น ในประเทศไทยพบมากทางภาคใต้ ส่วนที่เรียกกันทั่วไปว่า ส้มแขก เป็นเพราะอาหารอินเดียและมาเลเซียหลายชนิด เช่น แกงกะหรี่ แกงมัสมั่น จะใช้ส้มแขกประกอบอาหารแทนมะขามเปียก ก็เลยเรียกติดปากกันว่าส้มแขก ที่จริงส้มแขกสามารถปลูกได้ทุกภาคของประเทศไทย แต่คงเป็นเพราะทางภาคใต้รู้จักที่จะนำส้มแขกมาประกอบอาหารกันมาก ก็เลยปลูกกันมากกว่าที่อื่นๆ
ส้มแขกในประเทศไทยมีสรรพคุณตามตำราพื้นบ้าน คือ บรรเทาอาการปวดท้องในสตรีมีครรภ์ เป็นยาระบายอ่อนๆ ซึ่งสารในส้มแขกจะถูกขับออกทางไตโดยไม่ ถูกทำลาย (ไม่ผ่านตับ) และออกฤทธิ์เป็นยาขับปัสสาวะด้วย ก่อนหน้าที่จะมีการค้นพบคุณสมบัติพิเศษของผลส้มแขกว่าช่วยลดไขมันส่วนเกินได้ ส้มแขกตากแห้งมีราคาถูกมากในท้องตลาด โดยเฉพาะในตลาดสดต่างจังหวัด ปัจจุบันส้มแขกตากแห้งมีราคาสูงมากทีเดียว
สารสกัดจากผลส้มแขกช่วยลดไขมันได้อย่างไร
จากผลการศึกษาวิจัย (ของนักวิทยาศาสตร์ไทย ซึ่งนำโดย ศาสตราจารย์ ดร.พิเชษฐ วิริยะจิตรา และคณะ) ได้กล่าวถึงคุณสมบัติของสารสกัดจากผลส้มแขก (HCA) ว่าสามารถช่วยลดไขมันในร่างกายได้ดี โดยที่สาร HCA จะไปขัดขวางการทำงานของเอนไซม์ที่จะเปลี่ยนแป้งและน้ำตาลเป็นไขมันได้บางส่วน (ร้อยละ ๔๐-๗๐ ซึ่งจะเป็นกระบวนการหลังจากที่ร่างกายได้นำเอาพลังงานที่ควรได้รับจากแป้งและน้ำตาลไปใช้อย่างเพียงพอแล้ว) ไขมันจึงถูกสร้างน้อยลง ร่างกายมีพลังงานมากขึ้น เพราะ ไกลโคเจนไม่ได้ถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมันทั้งหมด เพราะฉะนั้นแหล่งสะสมพลังงานจึงเต็มนานขึ้น ผลคือ อิ่มนานขึ้น หิวช้าลง (กินได้น้อย) ลดความอยากอาหารระหว่างมื้อลงได้
- อ่าน 77,845 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้