อารมณ์ขัน...สิ่งที่คนไทยขาดหายไปในยุคปัจจุบัน
"หมอๆ ช่วยผมด้วยครับ เมียผมเขาจะยิงผม เขาหาว่าผมไปเที่ยวผู้หญิง" เป็นคำพูดที่นายอำเภอท่านหนึ่งขอความช่วยเหลือจากผม เพราะเราสนิทกันมาก คล้ายพี่น้องกัน ผมกำลังไปช่วยกลุ่มปฏิบัติธรรมจัดการอยู่ค่ายปฏิบัติธรรมที่วัดโนนหลังเก่า พอได้ยินอย่างนั้น ผมก็ไปกับนายอำเภอเพื่อไปพบภรรยาท่าน ภรรยาท่านชื่อพี่ปุ๊
พี่ปุ๊ถือปืน ๑๑ มม. ขึ้นลำยืนอยู่หน้าบ้าน พี่ปุ๊เจอหน้าผมก็ใส่ เป็นชุดๆ เลย ว่านายอำเภอนิสัยไม่ดี ต่อว่าต่างๆ นานา ผมได้แต่ฟัง พอพี่ปุ๊พูดจบผมก็พูดกับพี่ปุ๊ว่า "พี่ปุ๊ นายอำเภอไปเที่ยวผู้หญิงยังไม่ดีอีกเหรอครับ ดีกว่านายอำเภอไปเที่ยวผู้ชาย เดี๋ยวนี้ผู้ชาย ขายดีกว่าผู้หญิงเสียอีก ไม่เชื่อ ไปดูที่พัทยาสิครับ" พี่ปุ๊หยุดฟัง สักพักก็หัวเราะออกมา ทุกอย่างหยุด เริ่มพูดคุยกันเป็นปกติ ต่อจากนี้เป็นเรื่องของ ๒ คน ผมไม่ เกี่ยวแล้ว ผมขออนุญาตกลับก่อน
จะเห็นว่าอารมณ์ขันเป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหาอะไรๆ ได้อีกมากมาย อารมณ์ขันมันหาย ไปไหนหมดจากคนไทยไม่ทราบครับ... ใครหาเจอช่วยบอกผมด้วย ผมจะไปช่วยตามหาด้วยคน การมองโลกในแง่ดี สร้างอารมณ์ขัน ทำให้ปัญหาต่างๆ ลดลงมากมาย โดยเฉพาะในบ้าน สามีแหย่ภรรยา ลูกแหย่พ่อแม่ พ่อแม่แหย่ลูกให้มีอารมณ์ขัน ท่านจะรู้สึกทันทีว่าครอบครัวมีความสุขมากขึ้น
การแสดงออกของอารมณ์ขันมีหลายวิธี
๑. หัวเราะ เป็นการแสดงออก ที่ทุกคนเข้าใจและรู้ ผมขออธิบายการหัวเราะสักหน่อย
คนเราหัวเราะ ๑ นาที คล้าย การออกกำลังกาย ๑ ชั่วโมง ร่างกายจะผลิตสารออกมาชนิดหนึ่งคือเอนดอร์ฟิน เป็นสารที่คนออก กำลังกายนานๆ คนนั่งสมาธิ คนมีความสุขมากๆ จะผลิตสารตัวนี้ ออกมาในกระแสเลือด สารเอนดอร์ฟินจะช่วยให้ภูมิต้านทานของ ร่างกายเราดีขึ้นและสุขภาพทั่วๆ ไปดีขึ้น นอกจากจะทำให้สารแห่งความสุขหลั่งออกมา นั่นแสดง ว่าการหัวเราะทำให้คนเรามีความสุข และคนมีความสุขก็มักจะ แสดงออกโดยหัวเราะ จนมีคนคิด แปลกๆ แต่ดี คือตั้งชมรมหัวเราะ เพื่อสุขภาพที่ประเทศอินเดียจะมีการชุมนุมกันแล้วหัวเราะ เพราะเชื่อว่าการหัวเราะคือการสร้างความสุขส่งเสริมสุขภาพ และยังเป็นการออกกำลังกายชนิดหนึ่ง เรามักพูดว่า"โอ้ย หัวเราะเสียเหนื่อย เลย" การหัวเราะเป็นการออกกำลังกายปอดและหัวใจที่ดีมาก คล้ายการฝึกโยคะ ชี่กง เป็นต้น คือการ ฝึกให้หายใจอย่างมีประสิทธิภาพ
ลองดูสิครับ...ปลดปล่อยอารมณ์นั้นออกมาบ้าง อย่าเก็บไว้ คนเดียว หาเวลาปลดปล่อยความ เป็นตัวของตัวเองเพื่อสุขภาพ ไม่ต้องสวมหัวโขน ไม่ต้องวางฟอร์ม ตลอดเวลา เพราะทุกๆ คนเป็นคนธรรมดาเท่านั้น ยิ่งคนที่ทำงานในเชิงอำนาจ ยิ่งต้องเก็บกดมาก มักจะลงท้ายด้วยสุขภาพที่เสียจากความเครียดที่สะสม การหัวเราะเป็น การลดความเครียดที่ดีมาก หาเรื่องหัวเราะบ้าง จะพบว่าชีวิตเราก็มีความสุขได้นะครับ
๒. ยิ้ม หลายคนไม่เคยหัวเราะเลย แม้แต่ผมเอง วันไหนผมหัวเราะดังๆ ทุกคนในบ้านจะมองหน้ากันและมองผม เพราะผมแทบจะไม่เคยหัวเราะ คงเป็นเพราะนิสัยที่จริงจังมากไป ลูกก็ไม่ค่อยกล้าปรึกษา ภรรยาก็เกรง คนใช้ก็กลัว หมายังกลัวเลย แต่พอผมหัวเราะ ทุกคนแปลกใจ ต่อไปผมเลยใช้วิธียิ้ม แต่ต้องลองยิ้มดูจากกระจกนะครับ
อย่าทำให้เกิดความรู้สึกยิ้มเหมือนหลอก หยอกเหมือนขู่ เด็กไม่กล้าเดินผ่านเมื่อเรายืนอยู่
ยิ้มๆ ยิ้มกับตัวเอง นึกเรื่องที่ทำให้เรายิ้มๆ ไว้ตลอด แต่ต้องพอ เหมาะนะครับ ไม่ให้คนอื่นมองเราเป็นคนวิกลจริต ท่านจะรู้สึกว่าชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดี
ในหลวงของเราทรง มีอารมณ์ขัน จนเขียนเป็น หนังสือหลายเล่ม พระองค์ท่านทรงใช้เครื่องมือ ที่เรียกว่าอารมณ์ขันเป็นเครื่องมือช่วยผ่อนคลายภาระอันใหญ่หลวงของพระองค์ ทำไมคนไทยเรา จะไม่เลียนแบบในหลวง ของเราบ้างละครับ เป็นเรื่องที่ดีแน่นอน
สภาวะธรรมชาติของอารมณ์ขัน
๑. อารมณ์ขัน จะแปรตามสภาพพื้นฐานของจิตใจ ถ้าจิตใจเป็นสุขอยู่แล้ว จะมีอารมณ์ ขันง่าย ถ้าจิตใจเป็นทุกข์อยู่ จะมีอารมณ์ขันยากขึ้น
๒. อารมณ์ขันจะแปรตามสภาพร่างกาย ร่างกายสมบูรณ์ จะมีอารมณ์ขันง่ายกว่าร่างกายอ่อนแอ
๓. คนบ้าจี้จะมีอารมณ์ขันง่ายกว่าคนไม่บ้าจี้ บางคนมีตำแหน่ง หน้าที่การงานเล็กๆ เป็นคนบ้าจี้ แต่พอทำงานใหญ่โต จี๋อย่างไรก็ไม่สะดุ้งสะเทือน ไม่หัวเราะ ไม่มีอารมณ์ขัน ซึ่งเป็นสิ่งบ่งบอกอีกอย่าง หนึ่งว่า ขณะนั้นมีสภาวะอารมณ์ที่มีอารมณ์ขันยากกว่าปกติแล้ว
ทำอย่างไรถึงจะมีอารมณ์ขัน
คล้ายไก่กับไข่ ใครเกิดก่อนกัน คำตอบคือ ไม่รู้ ผมดูรายการตลก ปลาอะไรอยู่ในทะเลทราย คำตอบคือ ปาเลสไตน์ เป็นต้น เป็นเรื่องที่กวนๆ ประสาทแต่ก็ตลกดี นิยายน้ำเน่าดูแบบไม่ต้องคิดมากก็สนุกดี หรือการ์ตูนดูแล้วเพลินดี
เราจะมาสร้างอารมณ์ขันอย่างไร คงไม่มีขั้นตอนเป็นข้อๆ แต่ผมขอเสนอว่า
๑. เราต้องหัดยิ้มกับตัวเองก่อน (สำหรับคนที่อารมณ์ขันยาก)
๒. หัดนึกเรื่องตลกๆ บ้าง
๓. หัดมองโลกในแง่ดีบ้าง
๔. หัดดูตลก อ่านหนังสือตลก
๕. หัดทำตลกบ้าง ทดลอง...ลูกๆ รู้ไหมปลาอะไรอยู่ศาลไคฟง เป็นต้น พอเริ่ม ๑ จะมี ๒ มี ๓ ตามมา ผมเคยบอกกับเจ้าหน้าที่ของผมว่า ผมจะทำงานด้วยคุณธรรม แล้วเว้นวรรคคำพูดไว้สักพัก และตามด้วย ผมคิด คุณ น่ะ ทำ (คุณธรรม) คือผมไม่ได้เป็นคนทำ แต่พวกคุณน่ะเป็นคนทำ ทุกคนก็หัวเราะ
๖. พยายามหาวิธีให้คนอื่นหัวเราะ เราจะได้หัวเราะบ้าง ผมมีโครงการนำความสุขกลับบ้าน ก่อนเลิกงานประมาณ ๓๐ นาที ผมจะ เชิญเจ้าหน้าที่ทั้งหมดประชุมที่ห้องประชุม แล้วถามว่าใครสามารถเล่าเรื่องแล้วทำให้คนอื่นหัวเราะได้มากที่สุดจะมีรางวัล ผมควักแบงก์ร้อยออกมาหลายคนบอกว่า อยากได้แบงก์ ๕๐๐ ผมเลยบอกว่าเดี๋ยวผมหมดตัว นึกว่าเป็นเรื่องสนุกๆ หลายคนออกมาเล่าเรื่องตลก ทุก คนหัวเราะ แล้วทุกคนก็กลับบ้านไปด้วยความสุข สามี ภรรยา ลูก ที่บ้านก็พลอยมีความสุขไปด้วย คุ้มค่ามาก
วันนี้ผมพูดเรื่องอารมณ์ขัน คงเป็นเรื่องที่ไม่มีหลักวิชาการอะไรมากมาย แต่อยากจะให้ทุกๆ คนตระหนักว่า อารมณ์ขันเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาที่ดีมากเครื่อง มือหนึ่ง ใช้ได้ทุกสถานที่ โดยเฉพาะในครอบครัวของเรา หรือในที่ทำงาน อารมณ์ขันโดยเฉพาะ ของผู้บริหารจำเป็นมาก เพราะจะ ลดแรงกดดัน สร้างบรรยากาศ ของการทำงานที่ดีมาก แต่ต้องดูกาลเทศะให้ดี มากเกินก็ไม่ดี ไม่มีเลยก็เครียดทั้งองค์กร
ทำอย่างไร ต้องทดลองทำและเริ่มทำ ทุกคนหัวเราะได้แน่ นอน วันนี้คุณหัวเราะหรือยัง ถ้ายัง...ยิ้มนิดก็ยังดี โลกจะได้สดใส
- อ่าน 5,776 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้