• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ไม่มีมลพิษใดร้ายแรงเท่ากับมลพิษที่เกิดจากความคิดที่ไม่ถูกต้อง

ไม่มีมลพิษใดร้ายแรงเท่ากับมลพิษที่เกิดจากความคิดที่ไม่ถูกต้อง

ทุกคนในโลกนี้กำลังอยู่กับโลกที่มีแต่มลพิษต่างๆ มากมาย เราพยายามแก้ไขโลกใบนี้กันอยู่อย่างเต็มที่ แต่ผมเองอาจจะมองในอีกแง่มุมหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องที่ง่ายๆ และเราทุกคนทำได้ คือ มลพิษที่อยู่ในหัวเรานี่เอง
วันหนึ่งผมได้พูดคุยกับแพทย์ท่านหนึ่ง ซึ่งมาขอย้ายตัวเองจากโรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่ง ท่านเป็นหมอเด็กซึ่งมีความรู้สึกว่าตัวเองทำงานแล้วไม่คุ้มค่าความรู้ที่ตัวเองได้เล่าเรียนมา จึงอยากจะขอย้ายไปอยู่ในโรงพยาบาลประจำจังหวัด ผมเอง ก็ยังไม่ได้ปฏิเสธ และขอให้ท่านเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ผมฟัง
หมอท่านนั้นบอกว่า โรงพยาบาลชุมชน ๖๐ เตียง มีหมอ ๓ คน ท่านเป็นหมอเด็กคนเดียว อีก ๒ คน เป็นแพทย์ทั่วไป เป็นผู้อำนวยการ ๑ คน ผู้อำนวยการมักจะไปประชุม ทำให้ท่านต้องทำงานหนักตรวจคนไข้วันละ ๑๐๐-๒๐๐ คนต่อวัน รู้สึก ว่าทุกคนเอาเปรียบ ความรู้ไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า ทีมงานไม่ค่อยเห็นความสำคัญ จังหวัดไม่ลงมาแก้ไขปัญหา ผู้อำนวยการก็ไม่ใส่ใจ อื่นๆ อีกมากมาย ท่านระบายความทุกข์ยากต่างๆ ให้ ผมฟังอยู่ประมาณ ๑ ชั่วโมง ผมเลยบอกกับหมอท่านนั้นว่า ผมจะลองวิเคราะห์ให้หมอฟังไหมครับว่าผมมองอย่างไรกับปัญหาของหมอ ปัญหาทุกอย่างที่หมอรู้สึกว่าเป็นปัญหา คือ ความรู้สึก ความรู้สึกของคนเราเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เคยเห็นคนเล่นฟุตบอลไม่เหนื่อยไหมครับ แต่ทำไมยังลงไปวิ่งเล่นฟุตบอลกันอีก คำตอบคือ เพราะทุกคนสนุกกับการเล่นฟุตบอล งานทุกอย่างถ้าถามทุกคนจะต้องตอบว่าเหนื่อย ลำบากมาก แต่ถ้าถามนักฟุตบอลที่เล่นด้วยใจรักจะตอบว่า เหนื่อยแต่จะเล่นอีก ถ้ามีใครบอกวิธีที่ทำให้ไม่เหนื่อย และเหนื่อยน้อยที่สุด นักฟุตบอลจะรีบทำทันที เพราะต้องการเล่นให้ได้มากที่สุดและนานที่สุดเท่าที่ร่างกายจะทำได้ ผมบอกหมอท่านนั้นว่า คุณหมอย้ายหนีตัวของคุณหมอไปไม่พ้นหรอก เพราะปัญหาทุกอย่าง เกิดจากความรู้สึกซึ่งอยู่ในหัวของคุณหมอเอง ทำไมเราไม่จัดการกับความคิด ของตัวเองก่อนแล้วจึงค่อยจัดการเรื่องอื่นๆ คุณหมอท่านนั้นรู้สึกว่าท่านอยู่ในสังคมที่ดี แต่มลพิษที่ไม่น่าอยู่ แต่หารู้ไม่ว่า ไม่มีมลพิษใดร้ายแรงเท่ากับมลพิษที่เกิดจากความคิดที่ไม่ ถูกต้อง ผมจึงเริ่มกำจัดมลพิษจาก หัวของคุณหมอท่านนั้น

จากการสังเกตสีหน้าท่าทาง ของหมอท่านนั้น เห็นว่าท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงมาก เครียดวิตกกังวล ผอม หน้าคล้ายไม่ค่อยได้นอน  แต่งงานแล้วมีลูก ๑ คน ยังเล็กอยู่ ภรรยาเป็นหมอเหมือนกัน ทำงานส่วนตัว ส่วนตัวหมอเองรับราชการ ผมทำการวิเคราะห์ทั้งร่างกาย จิตใจ สังคม จิตวิญญาณให้หมอท่านนั้นแล้วหาทางแก้ไขให้ สรุปได้ดังนี้

ร่างกายไม่แข็งแรง ผอม กินอาหารน้อย (กินไม่ลง) นอนไม่ค่อยหลับ รู้สึกอ่อนเพลีย มีพฤติกรรมสูบบุหรี่ซึ่งทำลายสุขภาพ ร่างกายต้องการอาหารมากกว่าที่ได้รับ ต้อง การการพักผ่อนมากกว่านี้
จิตใจ อ่อนล้า รู้สึกท้อแท้ ซึมเศร้า เพราะตนเองกำลังสับสน ไม่มี ที่ปรึกษา มองอนาคตไม่ออก พายเรือในอ่างวกวน แต่ไม่ถึงขั้นมีปัญหา ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ยังปกติดีอยู่
สังคม เป็นคนค่อนข้างจะสังคมแคบ ไม่มีเพื่อน เพราะมัวแต่เปิดคลินิก เช้า-กลางวัน-เย็น สังคมอยู่เพียงโรงพยาบาล คลินิก และบ้าน
จิตวิญญาณ ยังดีอยู่ มีจิตวิญญาณในความเป็นแพทย์สูงอยู่ ไม่เป็นพ่อค้า แต่เนื่องจากสภาพสังคมชักนำให้จิตวิญญาณแสดงออก มาในทางที่ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติ
พอผมวิเคราะห์เสร็จ ผมก็บอกทางแก้ให้ ซึ่งเป็นการแนะนำใน ฐานะพี่สอนน้อง และสอนในสิ่งที่คน ที่รับฟังมีอยู่แล้ว มนุษย์เราจะเชื่อเพราะว่ามีความคิดนั้นอยู่ในใจแล้ว ถ้าไม่มีความคิดนั้นอยู่เลยเราจะไม่เชื่อก่อนคำแนะนำในเรื่องการปฏิบัติตัวเพื่อแก้ไขปัญหา ผมเลยเสนอความรู้พื้นฐานให้ฟังก่อน เพื่อความ เข้าใจที่ถ่องแท้
จิตใจคนเรา ขออนุญาตใช้คำว่า ความคิด เพราะบางท่านอาจจะมองเป็นเรื่องลึกลับ ความคิดของคนเราจะทำงานอยู่ในสมอง คือในหัวของคนเรา ในหัวของคนเราจะมีต่อมใต้สมอง (pituitary gland) เป็นต่อมผลิตฮอร์โมน ซึ่งควบคุมร่างกายของคนเรา สมองจะมีก้านสมอง มีจุดเชื่อมโยงสมองกับต่อมใต้สมอง คนเราที่มีรูปร่างหน้าตา ท่าทาง ความกระตือรือร้น ยิ้มแย้มแจ่มใส หรือเป็นลักษณะใดๆ เกิดจากอิทธิพลของฮอร์โมนมาก สังเกตไหม ครับว่าผู้หญิงพอถึงวัยหมดประจำเดือน คือช่วงเวลาที่ฮอร์โมนลดต่ำลงจะเกิดอาการทางร่างกายและจิตใจเปลี่ยน เด็กกำลังเป็นวัยรุ่นฮอร์โมนเพศมีมากจะเกิดความก้าวร้าว มีพฤติกรรมต่างๆ เปลี่ยนแปลง ยิ่งในสัตว์ยิ่งเห็น อิทธิพลของฮอร์โมนชัดเจน เช่น สุนัขถึงฤดูผสมพันธุ์จะก้าวร้าวมาก คนเรามักจะมองข้ามอิทธิพลของฮอร์โมนไป

จิตใจ (ความคิด) ควบคุมฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง
ฮอร์โมน ควบคุมร่างกายและจิตใจ
เป็นวัฏจักร ถ้าวงจรนี้เป็นวงจรแห่งการสร้างสรรค์ คนคนนั้นจะแข็งแรง มีประสิทธิภาพสูง แต่วงจรนี้เป็นวงจรแห่งความเสื่อม ทุกอย่างจะแย่ลงหมด
ถ้ายอมรับความรู้พื้นฐาน ตรงนี้ผมจะเริ่มบอกวิธีการปฏิบัติในการทำ ให้เกิดวงจรแห่งการสร้างสรรค์ เพื่อพัฒนาตนเองเป็นขั้นๆ เพื่อง่ายต่อการจดจำ
๑. เริ่มที่ความคิด ความคิดคนเรามีอยู่ ๔ หลัก
คิดเชิงบวก คิดแล้วทำ พูดสร้างสรรค์ เกิดผลดี
- คิดเชิงลบ คิดแล้วทำ พูดทางไม่ดี เกิดผลร้าย 
- คิดไร้สาระ คิดแล้วไม่เกิดประโยชน์ ไม่เกิดผล
- คิดวางแผน คิดไปข้างหน้าเพื่ออนาคต
ร้อยละ ๘๐ ของเวลาที่เรารู้ตัว เรามักใช้ความคิดในสิ่งที่เราทำไม่ได้
ร้อยละ ๒๐ ของเวลา เราคิดในสิ่งที่เราทำได้
ถ้าเราจะเริ่มที่ความคิด ขอให้คิดเชิงบวกมากๆ คิดวางแผนในอนาคต มากๆ คิดว่าที่เราทำได้มากๆ เราก็จะกลายเป็นคนคิดสร้างสรรค์ พอเราคิดสร้างสรรค์ หาของดีจากของเสีย หาจุดเด่นจากจุดด้อย คนทั่วไปมักมองแต่ความทุกข์ ความลำบาก ถ้ามองอีกอย่างนั่นคือโอกาส
ความคิดที่สร้างสรรค์ สนุก มี ความสุข แล้วจึงค่อยพัฒนาความคิดที่ดีจะส่งผลไปที่ต่อมใต้สมอง ทำให้ฮอร์โมนของเราเป็นฮอร์โมนที่ดีมีประสิทธิภาพ และฮอร์โมนจะไปควบคุมร่างกายปรับให้ดีขึ้น คล้ายคนที่เชื่อว่าหายจากโรค
ถ้าจะอธิบายว่าทำไมคนที่ดื่มน้ำมนต์แล้วรักษาโรคได้ คงจะเป็นความ เชื่อว่า สมองที่เชื่อว่าหายป่วยจะไปกระตุ้นระบบฮอร์โมน และฮอร์โมนก็จะไปกระตุ้นร่างกาย จึงทำให้หายจากโรคได้
สำคัญนะครับความคิด พอเริ่มที่ความคิดแล้วก็ต้องไปข้อที่ ๒
๒. ปรับสภาพร่างกาย
สุขภาพที่ดีทำให้จิตใจดีด้วย สุขภาพที่ดีประกอบด้วย ๓ ส่วน คือการบริโภคอาหารที่ดี ออกกำลังกายที่เหมาะสม และดูแลสุขภาพจิตให้ดี รู้จักการผ่อนคลาย
ผมขอแนะนำว่า ควรจะเริ่มที่การออกกำลังกาย จะเห็นผลเร็วที่สุดและจัดการบริโภคอาหารให้เหมาะสมกันไปพร้อมๆ กัน และรู้จักการผ่อนคลาย ตนเองในด้านจิตใจ
พอจัดการปรับสภาพร่างกาย ก็เข้าสู่ระยะ ๓
๓. ประเมินตนเองบ่อยๆ ต้องรู้ตัวเราเองว่า ร่างกายเป็นอย่างไร จิตใจเป็นอย่างไร สภาพสังคมเราเป็นอย่างไร
จัดการให้เหมาะสมกับสภาพร่างกาย คนแต่ละคนไม่เหมือนกัน
๔. จัดการกับตนเองให้เหมาะสมกับสภาพ ผมขอยกตัวอย่าง  ผมเองนะครับ
วันเสาร์ผมทำคลินิกเช้า บ่ายพาลูกไปทำฟัน วันอาทิตย์เช้าประชุมกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐานโรงเรียน ขับรถไปอีก ๖๐ กิโลเมตร เพื่อออกหน่วยเคลื่อนที่ บ่ายกลับบ้าน ๕ โมงเย็นไปประชุมที่กรุงเทพฯ กลับบ้านสี่ทุ่มครึ่ง เช้าวันจันทร์ไปประชุม กทม. กระทรวง กลับมาที่ทำงานบ่าย ๓ โมง
ร่างกายไม่ไหวเพราะขับรถเอง เหนื่อย
จิตใจอ่อนล้ารู้สึกว่าตนเองจะสู้กับปัญหาไม่ค่อยไหว
สังคมดีมาก ทุกคนให้เกียรติ แต่คาดหวังในตัวเราสูง
ผมจัดการกับตัวเอง พอมาถึงที่ทำงานกำลังมีการประชุม ผมบอก ว่าผมขออนุญาตพักเพราะเหนื่อยมาก ไม่ไหวแล้ว เข้าบ้านพักอาบน้ำ หา  อะไรกิน นอนพัก ตื่นมาออกกำลังกายให้สดชื่น พออีกวันผมก็เป็นปกติ   เหมือนเดิม ไม่ใช่ผมหนีปัญหา แต่ต้องจัดการกับตัวเองก่อนจึงจะมีกำลังไปจัดการทำสิ่งอื่นๆ นอกตัวเรา
สรุป ไม่มีใครทำร้ายเราได้ร้าย แรงเท่ากับความคิดตัวเราเองทำร้ายเราเอง และไม่มีมลพิษใดร้ายแรงเท่ากับมลพิษที่นำความคิดที่ไม่ถูกต้อง (โดยเฉพาะผู้บริหาร)
เข้าใจธรรมชาติ และจัดการกับตัวเราให้สอดคล้องกับธรรมชาติ เราหนีความคิดตัวเราเองไปไหนไม่พ้นจึงจำเป็นต้องจัดการกับความคิด เราก่อน
ถ้าต้องการเป็นคนที่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรเข้าใจธรรมชาติตัวเราเอง และจัดการกับตัวเราเอง
๑. เริ่มที่ความคิดที่ถูกต้องเป็นประโยชน์
๒. ปรับสภาพร่างกาย
๓. ประเมินตนเอง
๔. จัดการกับตัวเองให้เหมาะสม กับสภาพ
ต้องเชื่อว่าเราทำได้ เราจึงจะทำได้ นี่คือการควบคุมร่างกายผ่านฮอร์โมน ขอให้ทุกๆ ท่านเป็นคนที่อยู่ในโลกด้วยความสุขตลอดไป

ข้อมูลสื่อ

283-009
นิตยสารหมอชาวบ้าน 283
พฤศจิกายน 2545
นพ.วิวัฒน์ วิริยกิจจา