• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

วัฒนธรรมการตายของพุทธบริษัท

ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกฺขุ (อินฺทปญฺโญ) ได้จรรโลงพุทธศาสนาให้เป็นพุทธศาสนาที่ แท้จริงตามหลักธรรม
“ธรรม” ในความหมายของท่าน คือ
1. ธรรมชาติ
2. กฎของธรรมชาติ
3. หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ
4. ผลที่ได้รับจากการทำหน้าที่
 
แม้แต่ “การตาย” “ความตาย” และ “เหตุการณ์หลังตาย” ของท่านก็ยังสามารถจรรโลงพุทธศาสนาให้เป็นไปตามหลักธรรม เป็นบทเรียนอันทรงคุณค่าแก่พุทธบริษัทและศาสนิกชนในศาสนาอื่นด้วย
 
เมื่อเข้าสู่วัยชรา ท่านพุทธทาส อาพาธหนักหลายครั้ง เช่น
ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2534 ท่านเกิดภาวะหัวใจวายจากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ คณะแพทย์ต้องการนิมนต์ท่านไปรักษาที่กรุงเทพฯ ท่านตอบว่า “สำหรับกรุงเทพฯนั้น ไม่ถูกกับอาตมา โดยรูป โดยกลิ่น โดยเสียง โดยรส โดยโผฏฐัพพะ มันไม่ถูกกับอาตมา” แล้วท่านก็รักษาตนอยู่ที่วัดและหายอาพาธได้เรียบร้อยเช่นเดียวกับการอาพาธจากโรคหลอด เลือดในสมองแตกในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535

ในเช้าวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2536 ท่านกล่าวกับท่านพรเทพ (พระที่ช่วยงานท่าน) ว่า “น่ากลัวอาการเดิมจะมา อาการเดิมที่เป็นคราวก่อน...พรเทพเอาย่ามของเราไปเก็บ แล้วก็เอากุญแจในกระเป๋านี่เอาไปด้วย เราไม่อยากจะตายคากุญแจตู้เอกสาร...”

แสดงว่าท่านทราบล่วงหน้าด้วยตัวท่านเองแล้วว่า วันนั้นท่านจะอาพาธอีกและไม่รอด จึง “ไม่อยากจะตายคากุญแจตู้เอกสาร” แล้วเย็นวันนั้นเอง ท่านก็หมดสติจากหลอดเลือดสมองแตก และคงจะได้จากไป อย่างสงบตามธรรมชาติในวัดที่ท่านได้สร้างและพำนักมาโดยตลอด และไม่ต้องได้รับความทุกข์ทรมานใดๆที่ไม่จำเป็น
 
แต่แล้วท่านก็ถูกยื้อยุดฉุดคร่าไปโรงพยาบาล และไปรักษาที่กรุงเทพฯ ทำให้ท่านต้องผ่านกระบวนการ “การตาย” ที่ผิดธรรมชาติ จนถึงวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2536 ผู้รักษาท่านจึงยินยอมให้ท่านตาย (หลังจาก “ทรมาน” ท่านไว้เดือนเศษ)
“การตาย” ของท่านจึงทำให้สังคมได้ฉุกคิดว่า
1. การยื้อยุดฉุดคร่าผู้ป่วยไปรับการรักษา ทั้งที่ผู้ป่วยได้ยืนยันไว้อย่างชัดเจนหลายครั้งว่าไม่ปรารถนา เช่นนั้น ถูกต้องหรือไม่ ถูกกฎหมายหรือไม่
2. การกระทำเพื่อยืดการตาย (หรือที่ชอบเรียกกันว่า ยืดชีวิต) ของ “ผู้ป่วยที่หมดหวัง” ซึ่งทำให้ผู้ป่วยญาติ และสังคมต้องได้รับความทุกข์ทรมานมากขึ้นและนานขึ้นนั้น สมควรหรือไม่
3. การตายในโรงพยาบาลเป็นการตายที่ดีที่สุดหรือ การตายที่ต้องผ่านกระบวนการทุบอก กระแทกอก เพื่อนวดหัวใจ การใช้ไฟฟ้าช็อกหัวใจ การใส่ท่อช่วยหายใจ การใส่สาย ระโยงระยางต่างๆ การเจาะคอ เป็น การตายที่น่าปรารถนาหรือ

อันที่จริง “การตายในโรง พยาบาล” เกือบทั้งหมดเป็นการตาย ที่ผิดธรรมดา-ผิดธรรมชาติ เพราะเป็นการตายที่ต้องผ่านกระบวนการต่างๆ โดยน้ำมือของผู้อื่น
แล้วทำไมคนไทยในปัจจุบันโดยเฉพาะคนร่ำรวยหรือมีอำนาจวาสนา จึงชอบตายในโรงพยาบาล จนวัฒนธรรมแห่ง “การตายในโรงพยาบาล” ได้แผ่ไปครอบงำคนไทยทุกชั้นวรรณะ ยิ่งได้ตายในไอซียู (Intensive Care Unit) ซีซียู (Cardiac Care Unit) หรือยูพิเศษอื่นๆ ยิ่งรู้สึกโก้เก๋ จนต้องนำไปโอ้อวดกัน ประหนึ่งว่าญาติของตนได้รับการรักษาที่ดีที่สุดและได้ตายดีที่สุดแล้ว
 
“การตาย” ของท่านพุทธทาสจึงได้กระตุกผู้คนให้ตื่นขึ้นและเริ่มพินิจพิจารณาถึง “แนวทางการดูแล รักษาผู้ป่วยที่หมดหวัง” อย่างจริงจัง
แต่ก็น่าเสียใจที่ผ่านไปหลายปีแล้ว ยังไม่มี “แนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วยที่หมดหวัง” อย่างเป็นทางการจากแพทยสภา แพทยสมาคม วิทยาลัยและราชวิทยาลัยแพทย์ สภาการพยาบาล สภาสังคมสงเคราะห์ สภาทนายความ มหาเถรสมาคม สมาคมสังคมศาสตร์ และสถาบันอื่นๆ

“ผู้ป่วยที่หมดหวัง” จึงมักถูกถูลู่ถูกัง และปู้ยี้ปู้ยำไปตามกิเลสของผู้ที่เกี่ยวข้อง จนแม้แต่ใน “คำประกาศสิทธิผู้ป่วย 10 ประการ” ของแพทยสภา สภาการพยาบาล สภาเภสัชกรรม ทันตแพทยสภา และคณะกรรมการประกอบโรคศิลปะที่ประกาศไว้ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2541 ก็ยังไม่ครอบคลุมถึง “สิทธิที่จะตายตามธรรมชาติและโดยธรรมชาติ” และ “สิทธิที่จะกำหนดการรักษาพยาบาลสำหรับตนเอง” ของผู้ป่วย ทั้งที่รัฐธรรมนูญปัจจุบันได้เน้นสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีความ เป็นมนุษย์ของประชาชนทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ผู้ป่วย และใช้บังคับมาตั้งแต่ พ.ศ. 2540 แล้ว

ท่านพุทธทาสได้กล่าวถึง “การตาย” ว่ามี 2 ชนิด
1. การตายในภาษาคน คือการสิ้นชีวิต หรือการแตกดับของร่างกาย
2. การตายในภาษาธรรม คือ การตายจากกิเลส การตายจาก “ตัว กู-ของกู”

ท่านเรียก “การตายโดยไม่อยากตาย” ว่าเป็น “การตายโหง” ด้วย เพราะเป็นการตายที่ยังดิ้นรนต่อสู้อยากจะมีชีวิตอยู่ แต่ชีวิตก็ถูกดับไป

ผู้ที่ “ตายไม่เป็น” จึงเป็นผู้ที่ไม่รู้ว่า การตายอย่างไรดีที่สุด เพราะไม่ได้เตรียมตัวตายไว้ก่อน นั่นคือ ไม่ได้ “ตาย ก่อนตาย” นั่นเอง

ท่านพุทธทาสกล่าวว่า
พระพุทธเจ้าตายเสร็จสิ้นแล้ว ตั้งแต่วันตรัสรู้ที่ต้นโพธิ์ นั่นคือ ตายจากกิเลส ตายจากตัวกู-ของกู... การตายให้เป็น คือ การให้ร่างกายมันแตกดับไปในลักษณะที่เหมาะสม แม้ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้า หรือยังไม่เป็นพระอรหันต์ ก็ทำตามอย่างท่านได้ เท่าที่จะทำได้
 
เราจึงเห็นได้ว่า เรื่องตายนั้นเมื่อควรตายก็ให้มันตายอย่างที่เรียกว่า ปลงสังขาร ปลงอายุสังขาร จะต้องไปดิ้นรนต่อสู้ให้ยุ่งยากลำบากไปทำไม
 
เรื่องผ่าตัดเอาหัวใจไปใส่ใหม่นี้ ถือว่าเป็นเรื่องบ้าๆ บอๆ ของคนที่ไม่รู้จักตาย ตายไม่เป็น ก็ต้อง “ตาย โหง” อยู่ดี คือ ตายด้วยจิตใจที่ไม่อยากตาย เรียกว่า “ตายโหง” หมด...

อย่าต้องตายโดยที่ไม่อยากตาย อย่าเป็นคนโง่ เป็นคนไม่รู้ว่าธรรมชาติต้องเป็นไปอย่างนั้น เพราะฉะนั้นอย่าให้มันยุ่งยากมากนัก เมื่อควรตายก็ต้องตาย เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าทรงปลงอายุสังขารว่า สามเดือนจากวันนี้จักปรินิพพาน หมายความว่า ให้ร่างกายแตกดับไปตามธรรมชาติส่วนนิพพานของกิเลส นิพพานเสร็จแล้วตั้งแต่วันตรัสรู้ เมื่อเรามีธรรมะในเรื่องนี้ ก็ไม่มีการตายโหง
ท่านพุทธทาสได้เล่าถึง วัฒนธรรมการตายของพุทธบริษัทไว้ ดังนี้
สมัยเมื่ออาตมาเป็นเด็กเล็กๆ โยมแม่เล่าให้ฟังถึงการตายของตา ตาได้ตายอย่างวัฒนธรรมของพุทธบริษัทตามประเพณีวิธีของพุทธบริษัท

ตาเป็นคนแก่อายุมากแล้ว แต่ไม่ใช่แก่หง่อม เมื่อถึงเวลาที่จะตาย บอกว่า ไม่กินอาหารแล้ว กินแต่น้ำและยา ต่อมาบอกว่า ยาก็ไม่กินแล้ว กินแต่น้ำ

พอถึงวันที่จะตาย แกนั่งพูดกับลูกหลานรวมทั้งโยมแม่ด้วยถึงเรื่องที่จะตาย แล้วก็ไล่คนที่ร้องไห้ออกไป คงเหลืออยู่คนเดียวที่กล้า ที่บังคับตนเองได้ ที่ไม่ร้องไห้ แล้วจึงพูดตามที่จะพูด ซึ่งก็หลายนาทีอยู่เหมือนกัน แล้วจึงขอนิ่ง แล้วขอตาย

เพราะถึงเวลาจะตาย มีคนมาทุบหน้าอก ใส่ท่อหายใจ ใส่สายโน่น สายนี่ ทำให้เกิด “เวทนา” แก่กล้าอย่างนั้น ย่อมยากที่จะตั้งสติและสงบใจได้

อย่างไรก็ตาม ท่านพุทธทาสได้สอนไว้ด้วยว่า จะเป็นคนชั่วคนดีอย่างไร ถ้าอยากจะตายดีแล้ว ในนาที สุดท้ายต้องตั้งสติให้ได้และปล่อยวาง ทุกสิ่งทุกอย่าง ดับความเป็น “ตัวกู-ของกู” ให้หมดสิ้น แล้วก็จะตายดี
ท่านพุทธทาสได้วางแผนการตายของท่านและเหตุการณ์หลังตายของท่านไว้เป็นอย่างดี ตามแบบฉบับของวัฒนธรรมการตายของพุทธบริษัทที่ดี แต่ก็มี “มารผจญ” จนการตายของท่านต้องผิดธรรมดา-ผิดธรรมชาติ และไม่เป็นไปตามความปรารถนาของท่าน ดังที่ท่านได้ปลงสังขารไว้
 
อย่างไรก็ตาม เหล่าศิษย์และญาติโยมของท่านสามารถทำให้การ ปลงศพของท่านเป็นไปอย่างเรียบง่าย และไม่ยืดเยื้อดังที่ท่านปรารถนา ทำให้ “เหตุการณ์หลังตาย” ของท่านเป็นที่ชื่นชมกันโดยทั่วไป สมกับความเป็น “พุทธทาส” โดยแท้

ข้อมูลสื่อ

267-008
นิตยสารหมอชาวบ้าน 267
กรกฎาคม 2544
ศ.นพ.สันต์ หัตถีรัตน์