ปวดหัว
ปวดหัวหรือปวดศีรษะ ในที่นี้หมายถึง อาการปวด หรือเจ็บ หรือตื้อ หรือร้าว หรือหนักบริเวณหัว (บริเวณศีรษะ) ตั้งแต่บริเวณส่วนบน(หน้าผาก) ขึ้นไปที่ส่วนบนสุดของศีรษะแล้วลงไปยังบริเวณท้ายทอย และด้านข้างของกะโหลกศีรษะทั้งสองข้าง
ถ้าปวดต่ำกว่าหน้าผากลงมาเรามักจะเรียกเป็นการปวดของส่วนต่าง ๆ ที่มีชื่อเฉพาะโดยตรง เช่น ปวดคิ้ว ปวดจมูก ปวดโหนกแก้ม ปวดคาง (เจ็บคางหรือเจ็บขากรรไกร) เป็นต้น
อาการปวดหัวหรือปวดศีรษะ เป็นอาการที่พบบ่อยมากที่สุดอาการหนึ่ง แต่ในที่นี้ย่อมไม่รวมถึงอาการ “ปวดหัว” ที่เป็นเพียงคำพูดเปรย ๆ ของคนที่มีปัญหาขัดแย้ง หรือปัญหาที่ต้องขบคิดและแก้ไขจริงๆ นั่น คือ ไม่ได้ “ปวดหัว” แต่พูดว่า “ปวดหัว” เพื่อแสดงว่ามีปัญหาที่น่าจะทำให้ปวดหัวได้
คนไข้รายที่ 1 เป็นชายอายุ 60 ปี มาที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งกลางดึก พร้อมกับบอกหมอว่า
ชาย : “คุณหมอครับ ผมปวดหัวมากและตามองไม่ค่อยเห็นครับ”
หมอ : “เป็นมานานเท่าไหร่แล้วครับ”
ชาย : “ประมาณ 1 ชั่วโมงครับ”
หมอ : “เคยเป็นมาก่อนมั้ยครับ”
ชาย : “ไม่เคยเป็นครับ”
หมอ : “คุณกำลังทำอะไรอยู่ ตอนเริ่มเป็น”
ชาย : “กำลังดูหนังทีวีรอบดึกอยู่ครับ รู้สึกมีอาการปวดหัวข้างขวา และปวดตาข้างขวาเพิ่มขึ้น เรื่อยๆ แล้วมองทีวีไม่ชัดมากขึ้นๆ จึงรีบมาหาหมอครับ”
หมอตรวจตาและความดันเลือดของคนไข้แล้วพูดกับคนไข้
หมอ : “หมอคิดว่าคุณเป็นต้อหินเฉียบพลัน คงต้องให้คุณอยู่โรงพยาบาล คุณจะอยู่โรงพยาบาลได้ มั้ยครับ”
ชาย : “เอ ถ้าจำเป็นก็อยู่ได้ครับ แต่ผมต้องบอกทางบ้านก่อน หมอคิดว่าจำเป็นที่ผมต้องอยู่โรงพยาบาลหรือครับ”
หมอ : “ครับ เพราะโรคต้อหินเฉียบพลันนี้อาจจะทำให้คุณตาบอดได้อย่างรวดเร็ว ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที ตกลงคุณจะอยู่โรงพยาบาลหรือไม่ครับ หมอจะได้ให้พยาบาลเขาหาเตียงให้”
ชาย : “ครับ ๆ ถ้าหมอคิดว่าจำเป็นจริง ๆ ก็อยู่ครับ”
คนไข้ก็ได้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ได้รับยาแก้ปวด และยานอนหลับ เพื่อให้พักและหลับได้ และได้รับยาลดความดันในลูกตา (intra-ocular pressure) ลง ในวันรุ่งขึ้นโชคดีที่ความดันในลูกตาลดลง และคนไข้หายปวดหัว และปวดตา มิฉะนั้นอาจจะต้องผ่าตัดตาเพื่อลดความดันในลูกตาลง เพื่อไม่ให้ตาบอด
ตัวอย่างคนไข้รายแรกนี้ เป็นตัวอย่างคนไข้ที่ถือว่ามีภาวะ “ปวดหัวฉุกเฉิน” นั่นคือ มีอาการปวดหัวที่ต้องรีบให้การรักษาทันที มิฉะนั้นอาจจะทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนจนพิการ หรือถึงแก่ชีวิตได้
ภาวะ “ปวดฉุกเฉิน” คือภาวะที่อาการปวดหัวเกิดขึ้นร่วมกัน | |
อาการ | รายละเอียด |
1. อาการเจ็บหนัก
2. อาการตาผิดปกติ
3.อาการอาเจียนพุ่ง (projectile vomiting)
4.อาการคอแข็ง (stiff neck)
| หมดสติ ชักสับสน เลอะเลือน อัมพาต ไข้สูง ความดันเลือดสูงมากหายใจผิดปกติมากตาบอดหรือหูหนวกทันที กระสับกระส่าย ทุรนทุราย เจ็บอกมากเป็นต้น
5.1คลำบริเวณขมับแล้วพบเส้นเอ็นแข็งๆกดเจ็บ และเต้นได้ต้องนึกถึงหลอดเลือดแดงขมับอักเสบ (temporalarter-itis) โดยเฉพาะในคนแก่ ต้องรีบไปหาหมอทันทีมิฉะนั้นตาอาจจะบอดได้ 5.3กดเจ็บบริเวณกกหูหรือหลังหู หรือใช้นิ้วเคาะบริเวณนั้นแล้วเจ็บมักร่วมด้วยอาการ“หูน้ำหนวกเรื้อรัง” (มีหนองไหลออกจากหูเป็น ๆ หาย ๆ มานาน)เมื่อมีอาการปวดหัวมากแสดงว่าการอักเสบในหูได้ลุกลามเข้าสู่กระดูกกะโหลกศีรษะและอาจจะเข้าสู่ภายในกะโหลกศีรษะได้ต้องรีบรักษาทันที
คือ อาการปวดหัวครั้งนี้มีอาการแปลกกว่าที่เคยเป็นมาก่อน เป็นอาการปวดหัวที่มีลักษณะเช่นนี้เป็นครั้งแรกปวดมาก และปวดรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ อาจปวดตลอดเวลา หรือปวดเป็นครั้งคราว (เป็น ๆ หาย ๆ) แต่ปวดรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆอาการปวดหัวเช่นนี้มักร่วมกับความผิดปกติในสมอง จึงควรรีบพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการตรวจรักษาที่ถูกต้องโดยเร็ว |
อาการหรือภาวะ “ปวดหัวฉุกเฉิน” ดังกล่าวข้างต้นทั้งหมดเป็นภาวะที่ต้องรีบไปหาหมอ เพื่อการตรวจวินิจฉัยและรักษาให้ถูกต้องโดยเร็วที่สุด เพื่อมิให้เกิดภาวะหรืออาการแทรกซ้อนจนทำให้พิการหรือเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ |
- อ่าน 13,012 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้