• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

การตรวจรักษาอาการคัน

การตรวจรักษาอาการคัน

สำหรับอาการคันในที่ลับ (อาการคันก้น) โดยเฉพาะอาการคันบริเวณทวารหนัก (pruritus ani) และอาการคันบริเวณอวัยวะเพศหญิง (pruritus vulvae) ก็อาจเกิดจากสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการคันอื่นๆ แต่สาเหตุที่พบบ่อยของอาการคันในที่ลับทั้งสองแห่งนี้แตกต่างจากสาเหตุของอาการคันทั่วไปบ้าง (ดูตารางที่ 1 และ 2)

ตารางที่ 1 สาเหตุที่พบบ่อยของอาการคันบริเวณทวารหนัก (คันก้น)
1. โรคผิวหนังจากการสัมผัส (contact dermatitis)
2. โรคผิวหนังจากการเกา (neurodermatitis)
3. โรคพยาธิเข็มหมุด (pinworm infestation)
4. โรคผิวมันอักเสบ (seborrheic dermatitis)
5. โรคสะเก็ดเงิน (psoriasis)
6. ปฏิกิริยาต่อยาปฏิชีวนะ (reactions to broad spectrum antibiotic)
7. ริดสีดวง (hemorrhoids) ตุ่ม (skin tag) แผล (ulcer, fissure) บริเวณทวารหนัก

ตารางที่ 2 สาเหตุที่พบบ่อยของอาการคันบริเวณอวัยวะเพศหญิง
1. โรคผิวหนังจากการสัมผัส (contact dermatitis)
2. โรคเบาหวาน (diabetes mellitus)
3. โรคผิวหนังจากการเกา (neurodermatitis)
4. ตกขาว (leucorrhea)
5. ปฏิกิริยาต่อยาปฏิชีวนะ (reactions to broad spectrum antibiotic)

สาเหตุที่พบบ่อยของอาการคันบริเวณทวารหนัก คือ

1. โรคผิวหนังจากการสัมผัส (contact dermatitis) เช่น การสัมผัสกับของที่แพ้หรือของที่ระคาย เช่น กระดาษหนังสือพิมพ์หรือใบไม้ที่ใช้เช็ดก้น สบู่ ยาทาเล็บ ยาฆ่าเชื้อ เป็นต้น

2. โรคผิวหนังจากการเกา (neurodermatitis) วินิจฉัยและรักษาได้เช่นเดียวกับโรคผิวหนังจากการเกาอื่นๆ

3. โรคพยาธิเข็มหมุด (pinworm) มักเป็นในเด็ก และคันก้นเวลากลางคืน มักเป็นกันหลายคนในครอบครัว เวลาคันก้นควรใช้ไฟฉายส่องดูบริเวณก้น อาจเห็นพยาธิตัวเล็กๆ เท่าปลายเข็มหมุดยาวประมาณ ½-2 เซนติเมตร กระดุกกระดิกอยู่บริเวณก้น ให้กินยาถ่ายพยาธิเข็มหมุด หรือยาถ่ายพยาธิตัวกลม เช่น ยามีเบนดาโซล (mebendazole) 1 เม็ด ขนาด 100 มิลลิกรัม แล้วกินซ้ำอีก 1 เม็ดหลังจากที่กินครั้งแรกแล้ว 2 สัปดาห์ (ชื่อการค้าของยานี้ เช่น Benda® , Bendosan® , Damaben® , Fugacar® , Mebasol® , Meben® , Mebenda-P® ฯลฯ ราคาประมาณเม็ดละ 2-3 บาท) ควรกินทั้งครอบครัว คนละ 1 เม็ด แล้วอีก 2 สัปดาห์ต่อมากินซ้ำอีกคนละ 1 เม็ด

4. โรคผิวมันอักเสบ (seborrheic dermatitis) มีลักษณะของโรคผิวมันอักเสบในบริเวณร่องจมูก หลังหู ใบหน้า หน้าอก และ/หรือหลังด้วยรักษาแบบโรคผิวมันอักเสบในบริเวณอื่น

5. โรคสะเก็ดเงิน (psoriasis) เพราะเห็นเป็นปื้นแดงและมีสะเก็ดสีเงิน (สีขาวเป็นเงา) ควรไปหาหมอโรคผิวหนัง

6. ปฏิกิริยาต่อยาปฏิชีวนะ โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะที่มีฤทธิ์กว้าง (broad spectrum antibiotic) ดังนั้นถ้ากินยาเหล่านี้อยู่ ควรลองหยุดยาเหล่านี้ดู ถ้าหยุดได้โดยโรคที่ต้องใช้ยาเหล่านี้รักษาไม่กำเริบขึ้น ถ้าไม่แน่ใจให้ไปโรงพยาบาล

7. ริดสีดวง หรือตุ่ม หรือแผลบริเวณทวารหนัก โดยตรวจพบความผิดปกติดังกล่าว ให้ทำการผ่าตัดหรือรักษาสาเหตุเหล่านี้ แล้วอาการคันก้นจะดีขึ้น

สาเหตุที่พบบ่อยของอาการคันบริเวณอวัยวะเพศหญิง คือ

1. โรคผิวหนังจากการสัมผัส (contact dermatitis) เช่น สัมผัสกับของที่แพ้หรือของที่ระคาย เช่น กางเกงในที่ทำด้วยผ้าที่ตนเองแพ้ หรือผ้าที่ทำให้คัน สบู่ ยาฆ่าเชื้อ เป็นต้น

2. เบาหวาน สตรีที่เป็นเบาหวาน โดยเฉพาะถ้าไม่รักษาเบาหวานให้ดี จะมีอาการคันบริเวณอวัยวะเพศได้ง่าย ดังนั้น ถ้าคันบริเวณอวัยวะเพศ และเป็นเบาหวานอยู่ ควรรักษาเบาหวานอย่างเคร่งครัด และนั่งแช่ก้นในน้ำอุ่นวันละ 2-4 ครั้ง ครั้งละ 10-15 นาที แล้วซับด้วยผ้าสะอาดให้แห้ง ถ้านั่งแบะขาให้ลมโกรกก้นได้เป็นครั้งคราวเพื่อให้บริเวณนั้นแห้งและไม่อับเหงื่อ จะช่วยให้อาการคันดีขึ้นอย่างรวดเร็ว

3. โรคผิวหนังจากการเกา (neurodermatitis) วินิจฉัยและรักษาได้เช่นเดียวกับโรคผิวหนังจากการเกาอื่นๆ

4. ตกขาว (leucorrhea) วินิจฉัยได้เพราะคนไข้มีเมือกหรือมูก หนองหรือเลือดปนหนองออกทางช่องคลอด

ถ้าเป็นเมือกหรือมูกสีขาวคล้ายแป้งเปียก และเป็นไม่มากนัก (ไม่ต้องใช้ผ้าอนามัยคอยกันเปื้อน) ให้แช่ก้นในน้ำอุ่นวันละ 2-4 ครั้ง ครั้งละ 10-15 นาที แล้วซับด้วยผ้าสะอาดให้แห้ง

ถ้าเป็นเมือกหรือมูกเป็นฟอง และ/หรือเป็นสีเหลือง นอกจากนั่งแช่ก้นในน้ำอุ่นแล้ว ควรเหน็บช่องคลอดด้วยยาเหน็บช่องคลอด (vaginal tablet หรือ vaginal suppository) เช่น ยาเหน็บโคลไทรมาโซล (clotrimazole vaginal tablet) ราคาเม็ดละประมาณ 6-7 บาท เหน็บช่องคลอดก่อนนอนครั้งละ 1-2 เม็ด วันละ 1 ครั้ง และเหน็บติดต่อกัน 3-6 วัน ชื่อการค้าของยานี้ เช่น Candinas® , Candinox® , Canesten® , Clomaz® , Clotricin® , Cotren® , Defungo® , Fungicon® เป็นต้น ถ้าเป็นหนองหรือหนองปนเลือด ควรไปโรงพยาบาล

5. ปฏิกิริยาต่อยาปฏิชีวนะ โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะที่มีฤทธิ์กว้าง (broad spectrum antibiotic) ดังนั้นถ้ากินยาเหล่านี้อยู่ ควรลองหยุดยาเหล่านี้ดู ถ้าหยุดได้โดยโรคที่ต้องใช้ยาเหล่านี้รักษาไม่กำเริบขึ้น ถ้าไม่แน่ใจให้ไปโรงพยาบาล

อาการคันส่วนใหญ่ไม่ใช่อาการฉุกเฉิน และอาจจะลองรักษาเองดูก่อน โดยตรึกตรองและวิเคราะห์หาสาเหตุต่างๆ ดังได้กล่าวไว้ ถ้าไม่แน่ใจควรไปหาแพทย์ หรือไปโรงพยาบาล โดยเฉพาะถ้าลองรักษาเองแล้วอาการไม่ดีขึ้นหรือทรุดลง

ข้อมูลสื่อ

122-016
นิตยสารหมอชาวบ้าน 122
มิถุนายน 2532
ศ.นพ.สันต์ หัตถีรัตน์