• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

วิ่งแล้วรวย

วิ่งแล้วรวย

ปัจจุบันการวิ่งเพื่อสุขภาพ หรือบางทีบางครั้งเรียกทับศัพท์ฝรั่งว่า จ๊อกกิ้ง (jogging) กำลังเป็นที่นิยมกันมากขึ้น เรามักเห็นคนทุกระดับลงมาวิ่งกันอยู่เนืองๆ ในสถานที่ทำงานหลายแห่งจัดให้พนักงานมีการวิ่งเป็นประจำ โดยใช้ลานจอดรถเป็นลู่วิ่ง การที่คนไทยฟิตวิ่งกันมากขึ้น ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรนักหนา เพราะทุกคนรู้ดีว่า ชีวิตปัจจุบันมีความกดดันมาก

ในเมื่อการวิ่งเป็นการระบายความเครียดได้เป็นอย่างดี แถมใช้เวลาอันสั้น จึงเป็นที่ถูกใจของคนในสังคมเครื่องจักร ผู้เห็นเวลาเป็นเงินเป็นทอง แต่ทานทราบไหมครับว่า ท่านอาจจะรวยจากการวิ่งได้ด้วย การรวยในที่นี้ย่อมมิใช่ หมายถึง รวยเงินรวยทองโดยตรง แต่ผู้เขียนจะพยายามชี้ให้ท่านเห็นว่า เมื่อท่านรวย สิ่งต่างๆ ตามที่ผู้เขียนจะกล่าวต่อไปแล้ว ในที่สุดเงินทองก็จะเป็นของมาเอง หรือมองอีกแง่หนึ่ง ท่านอาจใช้เงินทองที่หามาได้อย่างคุ้มค่าความเหนื่อยยากที่อุตส่าห์ลงทุนลงแรงไป

สิ่งแรกที่ท่านจะรวยได้จากการวิ่ง คือ สุขภาพ ย่อมไม่มีใครสามารถเถียงได้เลยว่าการวิ่งจะไม่ช่วยให้สุขภาพของท่านดีขึ้น ท่านที่ปล่อยปละละเลยร่างกายมานาน เมื่อได้มาวิ่งก็จะยิ่งเห็นอานิสงส์ของการวิ่งข้อนี้ชัดเจน เมื่อเร็วๆ นี้ ผู้เขียนไปงานชุมนุมศิษย์เก่าของโรงเรียนสมัยมัธยม ได้เจอะเจอเพื่อนฝูงที่ไม่ได้พบหน้ากันมานานนับสิบปีหลายคน แต่ละคนล้วน “เจริญวัย” ไปมาก หรือถ้าจะพูดให้ตรงคือ “แก่ขึ้น” หรือ “หง่อม” ขึ้น (บางคนก็หงอกด้วย) หน้าตาของหลายๆ คนอวบอูมด้วยสง่าราศีที่เขาเรียกว่า “โหงวเฮ้งดี” แต่ในสายตาของผู้เขียนแล้ว มองไปในทางตรงข้าม เบื้องหลังใบหน้าอวบอ้วน พุงพลุ้ยเหล่านั้น ซ่อนเอาไว้ซึ่งหัวใจที่บอบบาง กล้ามเนื้อที่อ่อนเยิบ

บางคนอดีตเป็นนักกีฬาระดับดาราประจำโรงเรียน แต่มาบัดนี้ให้วิ่งไล่ลูกบอลสัก 2 นาที ก็คงเหนื่อยเป็นหมาหอบแดด แต่พวกนี้ คือ ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตการงานและด้านธุรกิจเป็นอย่างสูง (ปกติคนที่ล้มเหลวในชีวิตมักไม่โผล่หน้ามาในงานศิษย์เก่า)  น่าเสียดายที่เขาเหล่านี้จะมีชีวิตอยู่เสวยสุขกินผลงาน (และเงิน) ที่ทำไว้อีกไม่นานนัก บางคนก็เจ็บป่วยด้วยโรคเบาหวาน กินอะไรไม่ได้ (เพราะแสลงไปหมด) แม้จะมีเงินเป็นสิบล้านร้อยล้าน แต่ก็ไม่สามารถใช้เงินนั้นซื้อของกินได้ตามใจปาก

เช่นเดียวกับอีกหลายคนที่จะเป็นโรคหัวใจ การกินการอยู่ก็จะถูกจำกัดอย่างมากมาย สมบัติที่สะสมไว้มหาศาลก็ไม่อาจช่วยได้ นับเป็นเรื่องน่าแปลกที่คนมีเงินแต่ไม่สามารถใช้เงินซื้อความสุขได้ดังใจ เข้าทำนอง “หมาเห่าเรือบิน” หรือ “พบไม้งามเมื่อขวานบิ่น” เสียแล้ว สาเหตุที่เป็นดังนี้ก็ไม่ใช่เรื่องลึกลับซับซ้อน พอสรุปสั้นๆ ด้วยคำ 4 คำ คือ “อยู่ดี กินดี”

“อยู่ดี” หมายถึง ทำอะไรสะดวกสบาย ใช้เครื่องทุ่นแรงทุกอย่าง ซึ่งนั่นก็เป็นสภาพความจริงของมนุษย์ปัจจุบันในสังคมศิวิไลซ์ มองไปรอบตัวไม่ว่าจะเป็นรถราบ้านช่องห้องหอ เครื่องซักผ้า เตาแก๊ส บันไดเลื่อน ฯลฯ ล้วนมีส่วนทำให้เรามีสภาพใกล้ง่อยเปลี้ยเสียขา หรืออีกนัยหนึ่ง คือ ไม่ต้องออกแรงทำอะไรสักอย่าง แต่ร่างกายมนุษย์ซึ่งถูกโปรแกรมมาให้เคยชินกับงานที่หนักกว่านั้นนับด้วยแสนด้วยล้านปี ไม่สามารถปรับตัวได้ทันความเจริญ การทำงานของ “กลไกมนุษย์” จึงมีอันติดขัด ขัดข้อง ต้องซ่อมแซมกันบ่อยๆ ตัวอย่างเช่น ไหล่ติด เพราะไม่เคยยกของหนัก ปวดแขน ปวดขา ปวดเข่า (อย่างหลังนี่เพราะรับน้ำหนักตัวมากไป)

เมื่อมองเข้าไปในอวัยวะภายใน เราจะเห็น (ถ้ามีตาทิพย์) หลอดเลือดกำลังถูกอุดตันด้วยไขมันที่สะสมเกินขนาดเห็นหัวใจที่กล้ามเนื้ออ่อนแอกำลังทำงานทะร่อทะแร่เห็นปอดที่ไม่เคยขยายเกินกว่าหนึ่งในห้าของความจุแท้จริงยุบพองอย่างซังกะตาย แถมในบางรายยังถูกจับดำด้วยเขม่าจากคราบควันบุหรี่ เห็นอะไรต่ออะไรอีกมากมาย ซึ่งล้วนแต่พาเราหดหู่และห่อเหี่ยวหัวใจ

“กินดี” คือ การกินโดยไม่บันยะบันยัง สักแต่ว่ามีเงินซื้อได้ก็เสพเข้าไป ถ้าเราจะหยุดคิดสักนิดว่า อาหารที่เรากินในแต่ละวันมันได้สัดส่วนกันไหมกับพลังงานที่ใช้ (โดยมากมักกินเกินกว่าที่ใช้) หาความรู้ในเรื่องอาหารที่เหมาะสมควรแก่การบริโภค และที่สำคัญคือ มีความยับยั้งชั่งใจ หรือที่คำพระท่านว่า “สำรวม” ในการกินเสียบ้างก็คงจะไม่เกิดเรื่อง

มนุษย์สมัยก่อนไม่ต้องกังวลเรื่องปริมาณและชนิดอาหารที่กิน เพราะคนสมัยหิน (ยุคฟลิ๊นท์สโตนนั่นแหละ) เป็นประเภท “ล่าและเสาะหา” คือ ล่าสัตว์ได้มาก็แจกจ่ายกัน ขุดหัวเผือกหัวมันเก็บผักหักหญ้ามาได้ก็พอกินไปวันๆ เนื้อสัตว์ สมัยนั้นก็มีไขมันต่ำ (ไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์) เพราะไม่ใช่สัตว์ “ซี.พี.” ที่ขุนจนอ้วนเป็นหมูตอน (มีไขมันกว่า 30 เปอร์เซ็นต์) อย่างทุกวันนี้ และด้วยการออกแรงหนักประจำวันเพื่อการ “ล่าและเสาะหา” ก็ไม่เปิดโอกาสให้มีไขมันเหลือเก็บจนเกิด “โรคความศิวิไลซ์” ตามมาดังปัจจุบัน

“โรคศิวิไลซ์” ที่เรารู้จักกันดี ก็เช่น โรคเบาหวาน ความดันเลือดสูง โรคเกาต์ โรคข้อเสื่อม โรคหัวใจ อัมพฤกษ์ และอัมพาต เป็นต้น เมื่อรู้ดังนี้แล้ว ใครจะงอมืองอเท้ารอให้โรคต่างๆ ข้างต้นมาถามหาก็ตามใจ ใครจะถือคติ “ช่างมันฉันไม่แคร์” ผู้เขียนเห็นเก่งแต่ปาก พอถึงเวลาเป็นเข้าจริง มีแต่ร้องว่า “ไอดูแคร์ (I do care)” ทั้งสิ้น เพราะอะไรหรือ ก็มนุษย์เรารักตัวกลัวตายเป็นอันดับหนึ่งด้วยกันทุกคน

การวิ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้สุขภาพของท่านเสื่อมโทรมไปได้ และในกรณีที่มันเสื่อมไปบ้างแล้ว ก็ยังอาจเรียกกลับคืนมาได้ไม่มากก็น้อย ตัวอย่างที่ผู้เขียนขอยกมาให้ดูสำหรับท่านที่ชอบตัวเลข คือ ตารางที่ 1

ตารางที่ 1 ปริมาณโคเลสเตอรอลในเลือดของคนกลุ่มต่างๆ



* แอลดีแอลโคเลสเตอรอล เป็นโคเลสเตอรอลที่ทำให้เกิดโรคของหลอดเลือดต่างๆ เช่น โรคหัวใจ อัมพาต อัมพฤกษ์ถ้ามีมากจึงไม่ดี

** เอชดีแอลโคเลสเตอรอล มีคุณสมบัติตรงข้ามกับแอลดีแอลโคเลสเตอรอล คือ ช่วยป้องกันโรคต่างๆ ของหลอดเลือด ใครมีมากจึงถือว่าดี

ซึ่งแสดงค่าไขมันในเลือดเปรียบเทียบกันระหว่างผู้เอาแต่นั่งๆ นอนๆ (ไม่ได้ออกกำลัง) กับนักวิ่งจ๊อกกิ้งและนักวิ่งมาราธอน จะเห็นว่า 2 กลุ่มหลังมีค่าโคเลสเตอรอลกินผู้ที่ขี้เกียจออกกำลังขาดลอย ทั้งที่อาหารการกินของทั้ง 3 กลุ่มนี้เหมือนๆ กัน

ผ่านไปนะครับ สำหรับการรวยสุขภาพที่ท่านได้จากการวิ่ง อย่างที่สองที่ท่านจะรวย คือ รวยอายุ ฟังดูก็เหมือนกำปั้นทุบดิน เมื่อคนมีสุขภาพดีก็ต้องมีอายุยืนด้วย แต่ความจริงไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างนั้น กว่าที่จะทำให้คนเชื่อว่า ออกกำลังแล้วอายุยืนก็ต้องออกแรงกันหลายยก คนที่ออกแรง คือ นักวิจัย ซึ่งต้องทำงานเพื่อค้านผลการวิจัยเก่าๆ ที่ว่า นักกีฬาอายุสั้นกว่าคนธรรมดา!?!

การวิจัยเก่านั้นก็ไม่ได้นั่งเทียนเขียนเอา เพราะเขามีตัวเลขวันเกิดวันตายมาแสดงจริงๆ ว่าคนที่เป็นนักกีฬาอายุสั้นกว่าอายุขัยคนทั่วไปโดยเฉลี่ย แถมนักกีฬาบางคนยังเป็นโรคหัวใจวายตายเสียอีก ไอ๊หยา! ผู้เขียนหน้าแตกแล้วมั้งนี่ ก็เพิ่งเขียนไปหยกๆ ว่า ออกกำลังกายป้องกันโรคหัวใจได้ หรือมันจะเข้าทำนองที่มีคนบอกว่า การออกกำลังกายหนักๆ ทำให้หัวใจเสื่อมเร็ว อายุการใช้งานจึงสั้น

เมื่อเราพิจารณาดูงานวิจัยดังว่าให้ถ่องแท้ก็จะพบว่า บรรดานักกีฬาทั้งหลายที่เขาเอาอายุขัยมาเทียบนั้น ล้วนเป็นอดีตนักกีฬา เขาเหล่านั้นเคยรุ่งเรืองสมัยอยู่โรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือทีมชาติ แต่เมื่อปลดระวางแล้วก็ปล่อยตัวปล่อยกาย ไม่ได้ออกกำลังเลยก็ว่าได้ แน่นอนที่อานิสงส์จากการเล่นกีฬาที่เขาเคยทำมาในช่วงสั้นๆ (เมื่อเทียบกับชีวิตทั้งชีวิต) ไม่อาจครอบคลุมไปถึงมัชฌิมวัยและปัจฉิมวัยได้ มิหนำซ้ำหลายๆ คนยังติดนิสัยการกินเป็นพายุบุแคมอย่างที่เคยทำตอนเป็นนักกีฬาเสียอีก จึงไม่ต้องสงสัยว่าไขมันที่พอกพูนทั่วร่างกายจะไม่เป็นสาเหตุของการตายก่อนกำหนด

เมื่อทราบดังนี้แล้ว นักวิจัยก็ต้องวางแผนงานขึ้นมาใหม่ แทนการศึกษากลุ่มนักกีฬาก็ต้องหันไปหากลุ่มที่ออกกำลังสม่ำเสมอตั้งแต่เด็กจนแก่ แล้วดูซิว่า เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ออกกำลังกายตั้งแต่เด็กจนแก่เหมือนกัน ใครจะตายก่อนหรือใครจะอายุยืนกว่า เมื่อเห็นภาพของการวิจัยออกมาในรูปนี้ ก็เกิดการเกี่ยงงอนเป็นพัลวันในหมู่นักวิจัย ว่าใครจะเป็นคนทำ ไอ้ยากน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่กลัวนักวิจัยจะชิงตายเสียก่อนผู้ถูกวิจัย ก็เป็นเรื่องต้องหาผู้สืบมรดก (งานวิจัย) กันอีก

อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่ายินดีว่า มีผู้ฟิตทำงานวิจัยทำนองนี้มานานพอควร (15-40 ปี) และเมื่อเร็วๆ นี้ ก็ได้ประกาศผลงานในวารสารการแพทย์อันมีชื่อเสียงว่า ผู้ที่ออกกำลังสม่ำเสมอตลอดชีวิตมีอายุยืนกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ออกกำลังกาย ทั้งยังคำนวณออกมาอย่างละเอียดทีเดียวว่า แต่ละชั่วโมงที่ท่านใช้ไปในการออกกำลัง จะได้กำไรคืนมา (คืออายุยืนยาวออกไป) สองชั่วโมง

ครับ...ค้าขายอะไรที่ได้กำไรถึงร้อยเปอร์เซ็นต์เช่นนี้ มีหรือที่ใครจะไม่รีบตะครุบเอาไว้ นอกจากนี้ยังมีกำไรที่ไม่สามารถประเมินค่าออกมาเป็นตัวเลข แต่สำคัญยิ่งกว่านั่น คือ คุณภาพชีวิต ในขณะที่ผู้ไม่ได้ออกกำลังมีหวัง “แก่หง่อม” ตั้งแต่อายุยังไม่เต็ม 50 แต่นักวิ่งอายุ 70 ปียังเตะปี๊บพังเป็นแถวๆ นั่นคือ กำไรที่มีความหมายมากกว่าตัวเลขอายุเสียอีก เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ก็นำไปสู่ความรุ่มรวย

อย่างที่สามของนักวิ่ง คือ รวยเซ็กซ์ นักวิ่งนอกจากจะดูเซ็กซี่กว่า (อย่างน้อยในสายตาของผู้เขียน) แล้วยังได้รับการพิสูจน์ว่า มีสมรรถภาพทางเพศดีกว่า สูงกว่า เมื่อเทียบกับสมัยที่ยังไม่ได้วิ่ง นี่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เมื่อเราคิดถึงว่าการวิ่งทำให้คุณภาพชีวิตทั่วไปดีขึ้น เรื่องเพศซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตก็ย่อมดีขึ้นด้วย เรื่องนี้พูดมากไปเห็นจะไม่ดี เดี๋ยวเจ้าพนักงานการพิมพ์จะค้อนเอา ผู้เขียนขอสรุปสั้นๆ ด้วยคำพูดของนายแพทย์อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม จิตแพทย์นักวิ่งชื่อดัง และส.ส.พรรคพลังธรรมในปัจจุบัน ที่กล่าวว่า “การวิ่งทำให้ชีวิตเพศดีขึ้น ทั้งคุณภาพและปริมาณ”

รวยอย่างที่สี่ คือ รวยเพื่อน อาจเป็นสิ่งที่นอกเหนือความคาดหมายของคนทั่วไปที่ดูว่านักวิ่งออกกำลังอย่างโดดเดี่ยว ไม่น่าจะเป็นกีฬาที่ก่อให้เกิดมิตรภาพ แต่ถ้าท่านลงมาวิ่ง จะพบว่า ท่านได้เพื่อนใหม่แทบไม่เว้นแต่ละวัน ในสนามวิ่ง นักวิ่งทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะยากดีมีจนมาจากไหน และมิตรภาพเกิดขึ้นได้ง่ายดายเช่นเดียวกับภราดรภาพ การวิ่งออกจะแปลกกว่ากีฬาอื่นบางอย่างที่มีการแบ่งชั้นวรรณะกลายๆ โดยลักษณะของกีฬานั้นเอง แต่นักวิ่งมาจากคนทุกชั้นทุกอาชีพ ฉะนั้นเพื่อนที่ท่านได้จึงมีความหลากหลายและน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้สังคมนักวิ่งยังมีการรวมตัวสมัครสมานสามัคคีกันอยู่ไม่น้อย เฉพาะที่ตั้งเป็นชมรมวิ่งก็มีมากกว่า 60 แห่งทั่วประเทศ (เท่าที่รู้ของจริงคาดว่ามีมากกว่านี้เยอะ)

รวยอย่างที่ห้าคือ รวยอารมณ์ขัน เจ้าสัวชิน โสภณพานิช ผู้ล่วงลับไปแล้ว เคยกล่าวกับคนใกล้ชิดว่า สุดยอดปรารถนาในชีวิตผู้ชายมีอยู่ 3 ประการ คือ “สุขภาพดี มีลูกสาวสวย รวยอารมณ์ขัน” คนไทยในปัจจุบันมักมีอารมณ์เครียดเป็นเนืองนิจ การวิ่งช่วยคลายความเครียดได้อย่างวิเศษ เพราะจากการวิ่งร่างกายจะหลั่งสารอย่างหนึ่งออกมา เรียกว่า เอนดอร์ฟินส์ (endorphins) เอนดอร์ฟินส์มีฤทธิ์คล้ายฝิ่นหรือมอร์ฟีน จึงสามารถสะกดให้นักวิ่งมีอารมณ์เคลิบเคลิ้ม เบาสบาย จะสังเกตเห็นชัดทีเดียวภายหลังการวิ่ง นักวิ่งมักจะจับกลุ่มคุยกันด้วยความมันในอารมณ์สมเป็นผู้อุดมอารมณ์ขัน อย่างที่เจ้าสัวชินท่านว่าไว้

เท่าที่กล่าวมา 5 ประการ ท่านก็คงเห็นแล้วว่าการเป็นนักวิ่งมีความรุ่มรวยอันใดบ้าง ความจริง นักวิ่งยังรวยอีกหลายแง่หลายมุม เช่น รวยความรักในครอบครัว (กีฬาวิ่งออกกำลังได้พร้อมกัน พ่อ แม่ ลูก หรือแถม ปู่ ย่า ตา ยาย ด้วยยังได้) รวยเงินรวยทองที่ประหยัดได้จากการงดสูบบุหรี่ กินเหล้า (ที่เคยสูบจะเหม็นเบื่อไปเฉยๆ เหล้าก็ไม่อยากกินมากเหมือนแต่ก่อน) เสียดายที่ว่าหน้ากระดาษหมดก่อน ไม่งั้นคงจาระไนได้ทั้งวัน

ท่านที่ต้องการเป็นนักวิ่ง เวลานี้มีหนังสือแนะนำการวิ่งเพื่อสุขภาพออกมาวางตามตลาดมากมายหลายเล่ม ลองหยิบมาอ่านดู แล้วเริ่มชีวิตนักวิ่งเสียวันนี้ เพื่อที่ท่านจะรวยเหมือนดังว่า

ข้อมูลสื่อ

122-034
นิตยสารหมอชาวบ้าน 122
มิถุนายน 2532
วิ่งทันโลก
นพ.กฤษฎา บานชื่น