326. ลูกแฝด และโรงเรียนอนุบาล
เด็กแฝดซึ่งเกิดจากไข่ใบเดียวกัน มักจะสนิทสนมกันดี เล่นสนุกอยู่ด้วยกันได้ทั้งวัน เด็กบ้านอื่นที่ไม่มีพี่น้องต้องเหงาอยู่คนเดียว เป็นภาระทำให้แม่ต้องคอยเล่นด้วย ส่วนแม่ของลูกแฝดพอลูกโตแม่ก็สบาย ไม่ต้องหาเพื่อนเล่นให้ลูก นับว่า เป็นผลตอบแทนที่เคยลำบากมากกว่าคนอื่นถึงสองเท่า
อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรสบายใจจนปล่อยให้เล่นกันอยู่สองคนเรื่อยไป ลูกแฝดนั้นเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ดี จึงไม่จำเป็นต้องใช้คำพูด ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อพัฒนาการทางภาษาของเด็ก นอกจากนั้นเวลาเด็กอื่นมาเล่นด้วย มักจะไม่เข้าใจภาษาเฉพาะของคู่แฝด ผลสุดท้ายก็เลยทะเลาะกัน ลูกแฝดจึงสร้างโลกปิดเฉพาะเขาสองคนขึ้นมา โลกปิดของคู่แฝดนี้ แม้แต่พี่ของแกเองก็ยังเข้าไม่ได้ และกลายเป็นปัญหาที่ทำให้ทะเลาะกัน
เมื่ออายุเกิน 3 ขวบ จะเป็นช่วงที่เด็กพัฒนาทางด้านภาษาได้เร็วมาก ไม่ควรให้ลูกแฝดอยู่กันแต่เพียงลำพังในโลกปิดของแก ควรส่งเข้าโรงเรียนอนุบาล และถ้าโรงเรียนมีชั้นละหลายห้อง น่าจะแยกกันอยู่คนละห้อง เพราะเด็กแฝดมักเป็นเป้าสายตาของคนอื่น ซึ่งมองเห็นเป็นของประหลาด และเข้ามาชื่นชมหยอกล้อโดยไม่รับผิดชอบว่า คำพูดของเขาจะส่งผลเช่นใดต่อเด็ก
ถ้าเด็กต้องเรียนห้องเดียวกันและโรงเรียนไม่มีเครื่องแบบ ควรแต่งตัวให้แตกต่างจากกัน ผู้คนรอบข้างและตัวเด็กเองต้องสำนึกอยู่เสมอว่า ถึงจะเป็นลูกแฝดก็เป็นคนละคนกัน อย่าเอาคู่แฝดอีกคนหนึ่งมาปะปน ครูควรแยกให้ออกว่า เด็กคนไหนเป็นใคร เพราะถ้าครูเองก็ยังดูไม่ออกแล้ว จะทำให้เด็กเกิดความรู้สึกว่า ตนเองมิได้รับการยอมรับในฐานะคนคนหนึ่ง
นอกจากนั้น เวลาลูกแฝดคนหนึ่งทำผิด ครูไม่ควรเปรียบเทียบกับอีกคนหนึ่ง ใครจะดีหรือไม่ดีก็อยู่ที่ตัวคนนั้น อีกคนไม่เกี่ยว ทีเด็กคนอื่นในห้องทำผิด ครูก็ไม่เห็นเอาพี่หรือน้องของเขามาเปรียบเปรยสักหน่อย เด็กจะรู้สึกน้อยใจเช่นนี้ เราต้องระวังมิให้เด็กเกิดความรู้สึกว่าการเป็นลูกแฝดนั้นเป็นสิ่ง “ผิดปกติ”
327. ปัญหาของคุณแม่ซึ่งทำงานนอกบ้าน
สำหรับครอบครัวที่คุณพ่อคุณแม่ต้องทำงานนอกบ้านทั้งคู่จะมีปัญหาแตกต่างไปจากครอบครัวที่คุณแม่อยู่บ้าน อย่างไรก็ตามปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากคุณแม่มีเวลาน้อยในการดูแลลูกนั้นมีไม่มากนัก ปัญหาใหญ่มักเกิดจากความรู้สึกของคุณแม่ ซึ่งลงโทษตัวเองว่าไม่ค่อยมีเวลาให้ลูกอย่างพอเพียง เมื่อเด็กเกิดอาการผิดปกติบางอย่าง ซึ่งเกิดขึ้นได้ไม่ว่าแม่จะอยู่บ้านหรือไม่ คุณแม่ซึ่งทำงานนอกบ้านจะคิดทันทีว่า ลูกมีปัญหาเพราะตนมิได้อยู่ด้วยตลอดเวลา
ตัวอย่างเช่น เด็กอาย 3-4 ขวบนี้ ก่อนนอนมีแนวโน้มจะดูดนิ้ว ดูดผ้าห่ม หรือม้วนผม ฯลฯ ซึ่งนับว่าเป็นปกติวิสัยของวัยนี้ ในเมื่อเป็นปกติวิสัยย่อมหมายความว่า มีเด็กจำนวนไม่น้อยที่ติดอาการเหล่านั้น และจะเลิกทำไปเองเมื่อแกโตขึ้น ถึงแม้คุณแม่จะอยู่บ้านตลอดเวลา เด็กก็ติดนิสัยพวกนั้นได้ อย่างไรก็ตาม คุณแม่ที่ทำงานนอกบ้านชอบคิดว่าเด็กดูดนิ้วเพราะแม่ไม่อยู่ด้วย ยิ่งถ้าหากเด็กติดนิสัยเล่นอวัยวะเพศ คุณแม่จะยิ่งกลุ้มหนักถึงกับลาออกจากงานทีเดียว
เมื่อเด็กแสดงนิสัยผิดปกติบางอย่าง กุมารแพทย์หรือนักจิตวิทยาบางท่านมิได้มองด้วยสายตาที่กว้างพอ กลับย้ำกับพ่อแม่เด็กว่าลูกคุณผิดปกติต้องรีบแก้ไขบ้างละ เด็กแสวงหาความรักจึงแสดงอาการเช่นนั้นออกมาบ้างละ คุณแม่ได้ยินแบบนี้ก็ตกใจลงโทษตัวเองว่า คิดผิดที่ไม่อยู่บ้านเลี้ยงลูก
มีคุณแม่จำนวนมากที่จำเป็นต้องทำงานนอกบ้านด้วยเหตุผลต่างๆกัน และไม่ใช่ว่าทุกคนจะลงโทษตัวเองเมื่อลูกติดนิสัยผิดปกติ คุณแม่ซึ่งภูมิใจในหน้าที่การงานของตนสามารถเข้าใจได้ว่าการที่เด็กดูดนิ้วหรือเล่นอวัยวะเพศ หรือปัสสาวะรดที่นอนเป็นปกติวิสัยของวัย ซึ่งจะหายไปเองและไม่ควรกังวลมากนัก
คุณแม่นักทำงานมีเวลาให้ลูกน้อยกว่าก็จริง แต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างให้ลูกมากกว่าคุณแม่ที่เป็นแม่บ้าน เช่น ความรอบรู้ทางสังคม ความภูมิใจในหน้าที่การงาน สิ่งเหล่านี้เด็กเล็กๆอาจจะยังไม่เข้าใจ แต่แกจะเข้าใจเมื่อโตขึ้น
ถึงแม้พ่อแม่จะเคยทำงานนอกบ้านทั้งคู่แต่ถ้าพ่อบ้านร่วมมือดี และมีผู้เลี้ยงที่ดี เด็กย่อมเติบโตได้ดี ไม่มีปัญหา
สำหรับครอบครัวที่พ่อแม่ไม่อยู่บ้านตอนกลางวัน สิ่งสำคัญคือต้องสร้างเวลาสังสรรค์กันระหว่างพ่อแม่ลูกพร้อมหน้าพร้อมตากันไว้เป็นประจำ อาจเป็นช่วงเวลาอาหารเย็นหรือก่อนนอน ทำให้เป็นเวลาที่ทั้งครอบครัวมีความสุขสนุกสนานอยู่ด้วยกัน ทั้งนี้มิใช่เพื่อความสุขในปัจจุบันเท่านั้น แต่เพื่อความสุขของครอบครัวในอนาคตของลูกด้วย เพราะมีแต่ครอบครัวเท่านั้นที่จะสอนเด็กได้ว่าการอยู่ร่วมกันแบบครอบครัว มีความเห็นอกเห็นใจกัน รู้จักปรองดองผ่อนปรนให้กับคนต่างเพศอีกฝ่ายหนึ่งนั้น ควรจะทำอย่างไร?
พ่อแม่ไม่ควรเอางานกลับมาทำที่บ้านบ่อยๆ และเฝ้าแต่คิดว่าเมื่อไรลูกจะนอนสักที ฉันจะได้ทำงานต่อ
ช่วงระยะเวลาสั้นๆที่พ่อแม่อยู่กับลูกนั้น ถ้าเป็นเวลาซึ่งทุกคนมีความสุข ย่อมก่อผลให้ลูกเกิดความมั่นใจว่าพ่อแม่รักแกจริง ตอนกลางวันแกไปโรงเรียนอนุบาลหรือสถานเลี้ยงเด็ก ต้องอยู่ห่างแม่ แกก็ไม่รู้สึกเหงา
การแยกหัวห่างจากลูก มิใช่เป็นการสร้างความเข้มแข็งให้แกเสมอไป เวลาที่เด็กเรียกร้องต้องการความรัก ความใกล้ชิด ควรตอบสนองแกบ้าง ตัวอย่างเช่น ลูกคนพี่อายุ 3-4 ขวบ เห็นแม่นอนกับน้อง แกก็มาขอนอนกับพ่อ ในกรณีเช่นนี้คุณพ่อควรอนุญาตให้นอนด้วย เพราะช่วยให้แกนอนหลับได้อย่างสบายใจ และเกิดความรักความมั่นใจในตัวคุณพ่อด้วย อย่าถือมติเถรตรงว่า พอเด็กอายุเกิน ๓ ขวบ จะต้องเป็นอิสระจากพ่อแม่และพึ่งตนเองได้ตลอดเวลา
มีเด็กบางคนซึ่งนอนแยกห้องกับพ่อแม่แล้ว แต่ใจของแกยังไม่ยอมแยก หลังจากป่วยเป็นหวัด ซึ่งเป็นช่วงที่พ่อแม่เอาใจใส่ดูแล แกก็พยายามไอ ไม่ยอมหายสักที อาการแบบนี้กินยาแก้ไอก็ไม่หาย คุณพ่อคุณแม่ควรย้อนกลับมาคิดสักนิดว่าปัญหาอาจจะอยู่ที่การแยกแกเร็วเกินไปก็ได้
- อ่าน 3,156 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้