ทำอย่างไรให้เด็กแข็งแรง
เด็กนักเรียนทุกคนมีชั่วโมงพลศึกษาซึ่งถือว่าเป็นการสอนให้เด็กรู้จักออกกำลังกาย เราเคยสงสัยไหมครับว่า กิจกรรมอย่างไหนช่วยให้เด็กฟิตที่สุดระหว่างการเล่นกีฬา เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล ยิมนาสติก หรือการวิ่ง
คำตอบที่ออกมาจากการศึกษาในมลรัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา กิจกรรมที่ทำให้เด็กมีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงได้ดีกว่าเพื่อนคือ การวิ่ง
ศาสตราจารย์บรู๊ซ ดับบลิว. ทัคแมน แห่งมหาวิทยาลัยฟลอริดาสเตทได้แบ่งนักเรียนในชั้น ป.4 –ป.6 จำนวน 154 คน ออกเป็นสองกลุ่ม โดยการสุ่มตัวอย่าง กลุ่มหนึ่งให้มีกิจกรรมพลศึกษาตามปกติ อันได้แก่ เกม และกีฬา เช่น วอลเลย์บอล, บาสเกตบอล บวกกับการวิ่งบ้างเล็กน้อย อีกกลุ่มให้วิ่งสัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 30 นาที โดยใช้เวลาจากชั่วโมงพลศึกษานั่นเอง
หลังจาก 12 สัปดาห์ เขาก็นำเด็กนักเรียน 2 กลุ่มนี้มาทำการทดสอบความสมบูรณ์ของร่างกายโดยวิธีต่างๆ
ผลแตกต่างอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ ความสามารถในทางแอโรบิค (aerobic power) ซึ่งในกรณีนี้ได้แก่ การวิ่ง 800 เมตร เด็กในกลุ่มที่ได้รับการฝึกวิ่งทำเวลาได้ดีกว่ากลุ่มปกติ 18 วินาทีโดยเฉลี่ย
นี่ก็อาจมีคนค้านว่า เด็กที่ได้ฝึกวิ่งก็ย่อมวิ่งเก่งกว่าเป็นธรรมดา
ถ้างั้นลองมาดูผลการตรวจสอบอื่นๆ
ชีพจรของกลุ่มวิ่ง ช้ากว่าอีกกลุ่มอย่างมีความสำคัญทางสถิติ (4 ตุบ ต่อนาที)
ชีพจรของคนเราเป็นเครื่องสะท้อนบอกความฟิตของร่างกาย โดยเฉพาะความสามารถทางแอโรบิคได้โดยทางอ้อม ผู้ที่มีร่างกายฟิตดีจะมีอัตราเต้นของหัวใจ (คือชีพจร) ในเกณฑ์ต่ำ
ดังนั้น การที่ชีพจรของเด็กกลุ่มที่ได้รับการฝึกวิ่ง มีระดับต่ำกว่าอีกกลุ่มหนึ่ง จึงแสดงว่าเด็กกลุ่มแรกนี้มีความสามารถทางแอโรบิคดีกว่า
ในเรื่องของโรคอ้วนซึ่งกำลังเป็นที่หวั่นวิตกกันและมีรากฐานมาจากความอ้วนสมัยเด็ก การศึกษานี้ก็แสดงว่า เด็กที่วิ่งมีปริมาณไขมันน้อยกว่ากลุ่มที่เล่นพลศึกษาธรรมดา
อย่างไรก็ดี ความแตกต่างในเรื่องของไขมันนี้พบเฉพาะในกลุ่มเด็กชาย ส่วนเด็กผู้หญิงไม่พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างสำคัญ
โดยสรุป การศึกษานี้แสดงว่า การวิ่งช่วยให้เด็กมีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงขึ้นอย่างน้อยในแง่ของหัวใจและปอด (ความสามารถทางแอโรบิค) นอกจากนี้ยังช่วยให้เด็กมีปริมาณไขมันลดลง (อย่างน้อยในเด็กผู้ชาย)
ปัญหาอย่างหนึ่งของการชักจูงให้เด็กสนใจการวิ่งคือ กีฬาวิ่งขาดความสนุกสนาน ตื่นเต้น เช่น กีฬาฟุตบอล หรืออื่นๆ
แต่ก็มีผู้ให้ข้อคิดว่า การเรียนวิชาบางอย่างก็น่าเบื่อเหมือนกัน เช่น การคำนวณ แต่ในเมื่อเป็นสิ่งจำเป็นก็กลายเป็นวิชาบังคับสำหรับเด็กทุกคนแนวคิดนี้จะนำมาใช้กับการวิ่งได้หรือไม่ ก็ฝากไปเป็นการบ้าน
ในความเห็นของผู้เขียนเอง ถ้าหากจะปรับปรุงการวิ่งให้มีความสนุกสนานด้วยก็น่าจะอยู่ในวิสัยที่ทำได้
- อ่าน 2,608 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้