• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

อาหารป้องกันโรคมะเร็ง


มะเร็งเป็นโรคร้ายที่ใครๆก็ไม่อยากจะเป็น เพราะเป็นมะเร็งแล้วความตายรู้สึกใกล้เข้ามาเหลือเกิน แต่จำนวนคนเป็นมะเร็งดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นทุกวัน ไม่ต้องอะไร คนใกล้ชิดเราเดี๋ยวมีข่าวว่าคนโน้น คนนี้เป็นมะเร็งกัน ดูจะเป็นแฟชั่นในยุคนี้ ใครที่ไม่ตายด้วยโรคมะเร็งเหมือนจะไม่ทันสมัย

ในอเมริกาประมาณว่า หนึ่งในสี่คนจะต้องเจอกับมะเร็งด้วยตนเองไม่วันใดก็วันหนึ่ง หรือมองง่ายๆว่าอเมริกาซึ่งมีประชากรราว 200 ล้านคน เป็นมะเร็งเพิ่มขึ้นปีละหนึ่งล้านทุกๆ ปี จำนวนที่ตายจากมะเร็งราว 4 แสนคนต่อปี เมืองไทยเราไม่มีตัวเลขที่แน่นอน แต่พอประมาณได้ว่าไม่หนีจากอัตรานี้เท่าไหร่
ใครบอกถูกว่าเป็นมะเร็ง ก็เหมือนนำคำพิพากษาประหารมาให้ แม้การแพทย์จะก้าวหน้าเพียงไร การรักษามะเร็งยังทำได้ยากและผลสำเร็จน้อย วิธีที่ดีที่สุด จึงน่าจะเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดมะเร็ง

ท่านทราบไหมว่าอาวุธที่ดีที่สุดในการป้องกันมะเร็งไม่ใช่ยา ไม่ใช่วัคซีน แต่เป็นของธรรมดาที่เราเสพย์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน...ครับ อาหารนี่แหละเป็นสิ่งที่ป้องกันมะเร็งได้ดีที่สุด

คำกล่าวนี้ ผู้เขียนมิได้นั่งเทียนเขียนเอง หากแต่ลอกมาจากคำสรุปของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งซึ่งรายงานต่อสำนักงานประเมินเทคโนโลยีของสภาผู้แทนอเมริกัน เขาบอกต่อไปด้วยว่า ถ้าเลือกกินอาหารให้ถูกต้องจะสามารถอัตราการตายจากโรคมะเร็ง ( ในคนอเมริกัน ) ลงได้ 35 เปอร์เซ็นต์ นั่นหมายถึงว่าจะช่วยชีวิตคนอเมริกันไว้ได้ 150,000 คนต่อปี

ฟังดูเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อนะครับแต่ทว่าไม่ใช่เป็นความฝันกลางวันแต่อย่างใด นักวิทยาศาสตร์หลายกลุ่มรวมทั้งสมาคมโรคมะเร็งอเมริกัน และหน่วยงานอื่นๆของอเมริกัน อันได้แก่กรรมาธิการอาหารและมะเร็งของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ และฝ่ายบริการสุขภาพและมนุษยชนได้ผนึกกำลังกันโฆษณาให้ชาวอเมริกัน กินอาหารที่ช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็ง

บางคนอาจแปลกใจว่าอยู่ๆ ทำไมโหมโฆษณาการต่อต้านมะเร็งด้วยอาหารกัน ที่จริงเรื่องอาหารกับมะเร็งไม่ใช่ของใหม่อะไร นักวิทยาศาสตร์รู้กันมานานแล้ว ว่าอาหารหลายชนิดมีส่วนสัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็ง ทั้งในสัตว์ทดลองและในคน
ในทางกลับกัน อาหารบางชนิดช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้
ฉะนั้นถ้าเราจะลดการกินอาหารที่ทำให้เกิดมะเร็งลง และกินอาหารที่ช่วยป้องกันมะเร็งให้มากขึ้น ก็น่าจะช่วยให้อัตราการเสี่ยงของการเป็นมะเร็งลดลงได้


อาหารอะไรล่ะ ที่ทำให้เกิดมะเร็ง ?
ตอบง่ายๆ อาหารที่มีไขมันสูง เหล้า เบียร์ (แอลกอฮอล์ ) และเนื้อที่ผ่านการปรุงแต่งโดยเติมสารจำพวกดินประสิวลงไป

แล้วอาหารจำพวกไหนที่ป้องกันมะเร็ง ?
เป็นอาหารอย่างง่ายๆอย่างที่พวกเราคาดไม่ถึง หาได้ทั่วไป และราคาถูกกว่าอาหารพวกแรก นั่นคือ อาหารจำพวกผัก ข้างกล้อง ถั่ว งา ฯลฯ โดยเน้นที่สาร 5 ตัวคือ คาโรตีน และวิตามินเอ วิตามินซี ไฟเบอร์ อินโดลส์  และอาจรวมถึงวิตามินอี และแร่ซีลีเนี่ยม


เรามาลองดูกันว่า อาหารหรือสารพวกนี้ป้องกันมะเร็งได้อย่างไร

⇒ วิตามินเอ และคาโรตีน
วิตามินเอ และคาโรตีนเป็นสาร 2 ตัว ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างลึกซึ้ง วิตามินเอมีในธรรมชาติ เฉพาะอาหารจากสัตว์ คาโรตีนอุดมในพืชและเมื่อเข้าไปในร่างกายจะถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ก่อนนำไปใช้ข้อมูลระยะนี้ยังสับสนอยู่ว่า เฉพาะคาโรตีนหรือวิตามินเอ ที่มีประโยชน์ในการป้องกันมะเร็ง หรือใช้ได้ทั้ง 2 ตัว

วิตามินเอ พบว่ามีส่วนสัมพันธ์กับอัตราการเกิดมะเร็งของปอด กระเพาะ หลอดอาหาร เต้านม และ กระเพาะปัสสาวะ กล่าวคือ ในกลุ่มคนที่กินอาหารที่มีวิตามินเอมาก จะมีโอกาสเป็นมะเร็งในอวัยวะเหล่านี้ต่ำกว่ากลุ่มที่ได้วิตามินเอน้อย


อย่างไรก็ดี เนื่องจากในกลุ่มที่กินอาหารที่มีวิตามินเอมาก ได้วิตามินเอในรูปของคาโรตีนเป็นส่วนใหญ่ จึงอาจเป็นไปได้ว่า คาโรตีนเป็นตัวสำคัญในการป้องกันมะเร็ง
อะไรทำให้วิตามินเอและคาโรตีน ป้องกันมะเร็งได้นั้น ยังไม่เป็นที่รู้กัน เรารู้ว่าวิตามินเอ มีส่วนควบคุมการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ และอาจมีส่วนช่วยในปฏิกิริยาภูมิต้านทานด้วยนอกจากนี้คาโรตีนเองยังอาจป้องกันปฏิกิริยาการเติมออกซิเจน ( oxidation ) ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้โครโมโซมเสียหาย เกิดการเปลี่ยนแปลงจากเซลล์ปกติเป็นเซลล์มะเร็งได้

ขณะนี้งานวิจัยเกี่ยวกับผลของคาโรตีนกับการต่อต้านมะเร็งกำลังดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้ง เนื่องจากในคาโนตีนขนาดสูงไม่มีพิษภัย นอกจากทำให้ผิวหนังเป็นสีเหลืองชั่วคราว การทดลองในคนจึงกระทำได้ และเราคงได้ยินรายงานใหม่ๆ ออกมาในไม่ช้านี้

อาหารอะไรที่มีคาโรตีนมาก ?
พวกผักใบเขียว ผลไม้สีเหลือง สีแดง เช่น มะละกอ มะเขือเทศ ฟักทอง มะม่วงสุก ฯลฯ
ส่วนวิตามินเอ มีมากใน ตับและไข่แดง
เนื่องจากวิตามินเอมักมีในอาหารที่มีไขมันสูง และวิตามินเอขนาดสูง( เกินกว่า 25,000 หน่วยต่อวัน) มีโทษได้ การกินอาหารที่มีวิตามินเอ และวิตามินเอในรูปเม็ดยา จึงสู้การกินคาโรตีนจากพืชไม่ได้ นอกจากนี้พืชผักยังให้วิตามินซีและอินโดลส์อีกด้วย

 

⇒ วิตามิน ซี
วิตามินซีทำหน้าที่สารต่อต้านการเติมออกซิเจน เช่นเดียวกับคาโรตีน
นักวิจัยจากหลายประเทศพบว่า วิตามินซีมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งของ
กล่องเสียง หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร กล่าวคือในกลุ่มชนที่กินอาหารที่มีวิตามินซีน้อยจะเกิดเป็นมะเร็งของอวัยวะเหล่านี้ได้สูงกว่ากินวิตามินซีมาก
อย่างไรก็ดี เนื่องจากวิตามินซีกับคาโรตีนมักมีอยู่ในอาหารอย่างเดียวกันจึงเป็นการยากที่จะบอกว่าเป็นผลของสารตัวไหนกันแน่ แม้ว่าคาโรตีนจะมีเหตุผลสนับสนุนมากกว่า

ในทางทฤษฏี วิตามินซีอาจช่วยป้องกันมะเร็งได้ ดังนั้นจึงน่าที่จะทำการทดลองต่อไปให้รู้อย่างแน่ชัด พร้อมกับทำการตอบปัญหาที่ว่า วิตามินซีขนาดไหนที่ช่วยป้องกันมะเร็งได้ กล่าวคือ ในกลุ่มที่กินอาหารที่มีวิตามินซีน้อยกว่าที่ควร ( ต่ำกว่า 60 มิลลิกรัมต่อวัน ) จะมีโอกาสเป็นมะเร็งมาก หรือว่าร่างกายต้องการวิตามินซีในปริมาณสูง ( 60-200 มิลลิกรัมต่อวัน ) จึงจะป้องกันมะเร็งได้
วิตามินซีมีประโยชน์เวลาเรากินอาหารที่มีดินประสิว ( ไนเตร๊ท)

ดินประสิวใช้ในการทำอาหารบางอย่าง เช่น แหนม แฮม ไส้กรอก เนื้อเค็ม เขาพบว่าดินประสิวทำให้เป็นมะเร็งได้ โดยการเปลี่ยนเป็นไนโตรซามีนส์ ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดมะเร็ง วิตามินซีช่วยป้องกันไม่ให้ดินประสิวเปลี่ยนเป็นไนโตรซามีนส์ เราจึงควรกินอาหารพวกที่มีดินประสิวเหล่านี้ร่วมไปกับอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ผัก ผลไม้

 

⇒ วิตามินอีและเซเลเนี่ยม
ทั้ง 2 ตัวนี้มีคุณสมบัติต่อต้านการเติมออกซิเจนเหมือนๆ กัน ในห้องทดลอง วิตามินอีช่วยลดการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติ ( mutation ) ของเซลล์แบคทีเรียได้ โดยอาศัยคุณสมบัติต่อต้านการเติมออกซิเจนที่ว่า และในบางรายงานพบว่าช่วยป้องกันมะเร็งในสัตว์ทดลอง อย่างไรก็ดีรายงานการศึกษาในคนยังมีน้อยเกิดกว่าจะสรุปผลอะไรได้

เซเลเนี่ยม ช่วยลดการเกิดมะเร็งในสัตว์ทดลอง การศึกษาในคนพบว่าอาจให้ผลคล้ายคลึงกัน แต่เช่นเดียวกับวิตามินอี ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเซเลเนียมมากพอที่จะช่วยตัดสินใจให้คำแนะนำอย่างแน่นอน

 

⇒ ไฟเบอร์
หลักฐานที่ว่าไฟเบอร์ช่วยลดการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ ค่อนข้างแน่นหนา

ไฟเบอร์ คืออะไร ?

เป็นการยากที่จะให้คำจำกัดความของไฟเบอร์ เพราะไฟเบอร์มีมากมายหลายชนิด มีความแตกต่างกันและเรียกชื่อผิดแผกกันไป ไฟเบอร์อาจเรียกง่ายๆว่า เป็นกากของผัก ผลไม้ และข้าว แบ่งเป็น 2 พวกใหญ่ ๆ

พวกแรก กลุ่มที่ละลายน้ำได้พบในผักและผลไม้เป็นส่วนใหญ่ พวกนี้มีคุณสมบัติลดโคเลสเตอรอลได้อย่างอ่อนๆ

พวกที่สอง อันเป็นกลุ่มที่นักวิจัยทางมะเร็งให้ความสนใจ คือ พวกที่ไม่ละลายน้ำ พบในเมล็ดธัญพืช เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโพดกากเหล่านี้จะทำให้อุจจาระมีปริมาณมากและเคลื่อนที่ได้เร็ว ก็เลยคิดว่าผลอันนี้ที่ทำให้ไฟเบอร์มีชื่อทางต่อต้านมะเร็ง กล่าวคือ เมื่ออุจจาระผ่านลำไส้ได้เร็ว ก็จะทำให้พวกสารพิษต่างๆ อันมีปะปนกันอยู่ในอุจจาระมีเวลาออกฤทธิ์ได้น้อยลง นอกจากนี้ การที่อุจจาระมีปริมาณมากจากผลของกาก ก็ทำให้สารพิษถูกละลายเจือจางลงด้วย หลักฐานใหม่ๆ ยังแสดงว่า ไฟเบอร์อาจมีส่วนช่วยลดมะเร็งในลำไส้ใหญ่ โดยขบวนการที่พิสดารยอกย้อนกว่าที่กล่าวมาแล้วอีก

การวิจัยจากหลายๆ ที่พบว่าอัตราการเกิดมะเร็งของลำไส้ใหญ่ในประเทศศิวิไลซ์ สูงกว่าประเทศที่ด้อยพัฒนาถึง 8 เท่า ประชากรของประเทศกลุ่มหลังกินอาหารที่มีไฟเบอร์มากกว่าชาวประเทศพัฒนา นี่ก็มีคนแย้งว่า อาจเป็นเพราะพวกประเทศอุตสาหกรรมกินไขมันมากกว่าก็เป็นไปได้
แต่มีการศึกษาจากประเทศที่กินไขมันพอๆ กัน แต่ประเทศหนึ่งกินไฟเบอร์มากกว่า พบว่า ประชากรไม่ค่อยเป็นมะเร็งลำไส้ นั่นคือ การศึกษาประเทศฟินแลนด์กับอเมริกาชาวฟินแลนด์ซึ่งชอบกินขนมปังจากข้าวไรย์ ได้ไฟเบอร์มากกว่าชาวอเมริกัน พวกฟินแลนด์จึงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่เพียงครึ่งหนึ่งของคนอเมริกัน หรืออย่างคนที่อยู่ในประเทศที่มีอัตรามะเร็งลำไส้ใหญ่สูง เมื่อย้ายไปอยู่ในประเทศที่มีอัตราต่ำ อัตราเสี่ยงก็พลอยต่ำไปด้วย

ปัจจุบันมีไฟเบอร์ขายกันในรูปเม็ดหรือแคปซูล ซึ่งแม้ว่าจะดูง่าย แต่ไม่ได้ผล เหตุเพราะว่าไฟเบอร์เป็นสารที่ต้องการเนื้อที่ เมื่อจับไปอัดไว้ในเม็ดยาจึงใส่ได้ไม่มาก ( ราวครึ่งกรัม ) ฉะนั้น ถ้าจะกินให้ได้ปริมาณที่แนะนำในแต่ละวัน ( 30-40 กรัม ) ก็เท่ากับว่า ต้องซื้อมากินวันละ 60-80 เม็ด
วิธีง่ายๆ ที่จะให้ได้ไฟเบอร์ คือ การกินข้าวกล้อง ( ดู หมอชาวบ้าน ฉบับ 62 ) ผัก และผลไม้ ถ้าเป็นขนมปังก็เลือกชนิด โฮลเกรน หรือ โฮลวีท ซึ่งก็มีผู้ทำออกมาจำหน่ายวางขายทั่วไป

 

⇒ อินโดลส์ ( Indoles)
อินโดลส์เป็นสารกลุ่มหนึ่งที่พบในผักโดยเฉพาะในกลุ่มกะหล่ำ อันได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บร๊อคเคอรี่ ผักคะน้า หัวไช้เท้า ฯลฯ อินโดลส์ ช่วยต่อต้านมะเร็งโดยการทำปฏิกิริยากับสารพิษที่ก่อให้เกิดมะเร็ง แต่จะไปทำปฏิกิริยาอย่างไรยังมาทราบแน่ชัด
นักวิจัยพบว่า ในสัตว์ทดลองอินโดลส์ช่วยลดอัตราการเป็นมะเร็งและในคนที่กินผักในกลุ่มกะหล่ำมากมีอัตราการเป็นมะเร็งของลำไส้ใหญ่น้อย

 

อาหารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง
พูดถึงฝ่ายต่อต้านมากแล้วลองมาดูฝ่ายสนับสนุนบ้าง
ดังที่เกริ่นไว้ อาหารที่ส่งเสริมการเกิดมะเร็ง คือ ไขมัน แอลกอฮอล์และอาหารที่ใส่ดินประสิว นอกจากนี้ การกินอาหารมากเกินไปก็ทำให้เป็นมะเร็ง

 

⇒ ไขมัน
ไขมันดูจะเป็นตัวที่ร้ายที่สุด
ในสมัยก่อนอาหารไทยเรามีมันไม่มาก แต่ปัจจุบันจากอิทธิพลของความศิวิไลซ์ และอารยธรรมตะวันตก ทำให้เรากินไขมันมากกว่าที่เคย ตัวอย่างเช่น เนื้อสัตว์ นม เนย ไข่
ใครที่ชอบอาหารฝรั่งจึงควรระวังกันไว้ เช่น อาหารอเมริกันมีไขมันอยู่ ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ของแคลอรี่ที่ได้ หรืออาหารโต๊ะจีน อาหารเหลาก็เหมือนกัน อุดมไปด้วยไขมัน คนที่กินไขมันเยอะจนเป็นมะเร็งของเต้านม ลำไส้ใหญ่ ต่อมลูกหมาก รังไข่ และมดลูกมาก

สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ( อเมริกา ) พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างการกินไขมันน้อย กับ การไม่ค่อยเป็นมะเร็ง เป็นไปอย่างน่าเชื่อถือที่สุด ในกระบวนผลการศึกษาเรื่องอาหารกับมะเร็งที่ทางสถาบันทำมา 2 ปี คณะกรรมาธิการอาหาร โภชนาการและมะเร็ง ( อเมริกัน ) และสมาคมมะเร็งอเมริกัน แนะนำว่า อาหารที่กินไม่ควรมีไขมันเกินกว่า 30 เปอร์เซ็นต์
 

วิธีง่ายๆ ที่จะทำให้อาหารมีปริมาณไขมันในระดับดังกล่าวมีหลัก 4 ข้อ คือ
หนึ่ง อาหารเนื้อ ควรใช้เนื้อแดงที่ติดมันให้น้อยที่สุด เป็ด ไก่ ควรเลี่ยงการกินหนัง

สอง ถ้ากินนมหรือเนย ให้ใช้ชนิดพร่องมันเนย ( คือตักมันที่ลอยหน้าออกแล้วในกระบวนการผลิต ) หลีกเลี่ยงไอศกรีมชนิดใส่นม

สาม ใช้น้ำมันในการทอดหรือผัดให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพียงเพื่อรักษารสไว้เท่านั้น

สี่ พยายามกินอาหารผัก ผลไม้ เมล็ดธัญพืช ( ข้าวกล้อง ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ลูกเดือย ฯลน) ให้มากๆ

 

⇒แอลกอฮอล์
คนที่ดื่มหนัก มีโอกาสเป็นมะเร็งของกระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่สูง ถ้าดื่มด้วย สูบบุหรี่ด้วย จะเป็น
มะเร็ง ปาก คอ และหลอดอาหารเพิ่ม

ดื่มแค่ไหนจึงจะไม่มากเกินไป

ออกจะเป็นการยากที่จะให้คำตอบ ถ้าเป็นไปได้ควรถือ มัชวิรัติ คือ งดดื่มเสียเลย ถ้าหากเลิกไม่ได้ อย่าให้เกิดกว่าเบียร์ 1 แก้ว หรือเหล้า 1 ก๊ง ต่อวัน
นั้นไม่ได้หมายความว่าตัวเลขที่ให้จะปลอดภัยจากมะเร็ง เพราะยังไม่มีใครรู้แน่นอนว่า แค่ไหนถึงจะปลอดภัย

 

⇒อาหารใส่ดินประสิว
ดินประสิวถูกใส่ลงไปในเนื้อ เพื่อให้มีสีแดงดูน่ากินเช่น ในไส้กรอก เนื้อเค็ม แหนม บางทีก็ใส่ในปลาร้า
ดังที่ได้กล่าวแล้วว่า ดินประสิวหรือไนไตร๊ท์ถูกเปลี่ยนเป็นไนโตรซามีนส์ซึ่งทำให้เกิดมะเร็ง เราจึงควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีดินประสิวผสมอยู่

 

⇒ การกินมากไป
กินมากไปคือ กินจนเหลือใช้ร่างกายต้องเอาไปเก็บไว้ในรูปไขมัน
มีหลักฐานหลายอันที่แสดงว่าการกินมากไป ไม่ว่าตั้งแต่ในวัยเด็กหรือในตอนโตเป็นผู้ใหญ่จะทำให้เป็นมะเร็งมากขึ้น

หมอเดอ วอร์ด พบว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างความอ้วนใหญ่ กับมะเร็งของเต้านม โดยเฉพาะในหญิงวัยเลขหมดประจำเดือน คนที่อ้วนจะมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมมากกว่าคนปกติ ถึง 4 เท่า นอกจากนี้ยังพบว่า มะเร็งของมดลูกและถุงน้ำดี ก็มีส่วนสัมพันธ์กับน้ำหนักที่มากเช่นกัน

ทำไมความอ้วนจึงทำให้เป็นมะเร็งได้
ยังไม่ทราบกันแน่นอน มีทฤษฎีที่พยายามอธิบายอยู่หลายอัน

อันหนึ่งว่า การกินมากกระตุ้นให้เซลล์มีการแบ่งตัวมากโดยเฉพาะในวัยเด็กเมื่อมีการแบ่งตัวมากโอกาสเกิดเซลล์ที่ผ่าเหล่าผ่ากอกลายเป็นมะเร็งก็มีมากตาม
บางคนว่า เป็นจากการเปลี่ยนแปลงในฮอร์โมนส์ในคนอายุมาก
หรือบ้างก็ว่า เป็นจากความอ่อนแอของปฎิกิริยาภูมิคุ้มกัน
ครับ! ก็ยังไม่รู้จะอธิบายอย่างไร แต่ที่แน่ๆคือ อ้วนไป มีโอกาสเป็นมะเร็งง่าย

อะไรที่กินได้

ถึงตรงนี้ผู้อ่านบางท่านอาจจะคิดในใจว่า รายการห้ามไม่ให้กินมาอีกแล้ว
จริงครับถ้าเราติดตามข่าวคราวหน้าหนังสือพิมพ์จะพบอยู่เรื่อยว่า เดี๋ยวไอ้นี่ก็กินไม่ได้ ไอ้นั้นก็เป็นพิษ
จนรู้สึกว่าถ้าจะเชื่อตามเขา คงกินอะไรไม่ได้สักอย่าง
บางท่านก็เลยพลอยเลิกเชื่อไปเลย กินมันหมดทุกอย่าง
นั่นเป็นสิ่งที่น่าเสียดาย และเรื่องที่ผู้เขียนพยายามจะหลีกเลี่ยงในวันนี้ คือ ไม่ให้ท่านมีความรู้สึกว่า “ กินอะไรก็ไม่ได้”

สรุปกันออกมาสั้นๆ ท่านควรจะกินอะไรดี
ผู้เขียนมีความเห็น (ส่วนตัว) ว่า การกินอาหารแบบไทยๆดีที่สุด
อาหารไทยคือ อาหารที่มีข้าวเป็นหลัก (ถ้าเป็นข้าวกล้อง จะดีที่สุดเลยครับ) มีกับเป็นผัก ปลา บวก
เนื้อสัตว์ และไข่ ตบท้ายด้วยผลไม้
อาหารไทยจะไม่ใส่มันมากจนเลี่ยน
อาหารไทยไม่มีไส้กรอก หมูแฮม
อาหารไทยอุดมด้วยกาก หรือไฟเบอร์ ฯลฯ

ถึงแม้ว่าการกินอาหารที่แนะนำมาตั้งแต่ต้น จะไม่มีหลักฐานยืนยันพันเปอร์เซ็นต์ ว่าจะทำให้ท่านไม่เป็นมะเร็ง แต่ก็จะทำให้สุขภาพท่านดีขึ้นได้อย่างแน่นอน ลดอัตราการเสี่ยงจากโรคหัวใจ เบาหวาน เก๊าท์ ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน โรคไขข้ออักเสบ ฯลฯ

ท่านจึงไม่เสียอะไรเลยในการปฎิบัติตัวตามคำแนะนำ มีแต่ได้กับได้แล้วท่านจะมัวรออะไรอีกเล่าครับ

 

เอกสารอ้างอิง:

1.  Willet C.W. MacMahon B. Diet and Cancer an Overview. New Eng. J. of Med . 310 : 633-37,697-03,1984.
2. Committee on Diet, Nutrition and Cancer ;National Research Council. Diet , nutrition , and cancer.Washington ,D.C. : National Academy Press, 1982.
3. Committee on Diet, Nutrition and cancer: National Research Council. Diet , nutrition, and cancer: directions for future research. Washington, D.C.National Academy Press, 1983.
 

ข้อมูลสื่อ

72-002
นิตยสารหมอชาวบ้าน 72
เมษายน 2528
อื่น ๆ
นพ.กฤษฎา บานชื่น