ประชาชนทั่วไปสามารถจะเรียนรู้การเป็นหมอรักษาตนเองและญาติมิตรได้ โดยเฉพาะโรคภัยไข้เจ็บที่พบอยู่บ่อย ๆ ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 70-80 ) จะรักษาได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือที่พิเศษพิสดารอะไร เรื่อง “มาเป็นหมอกันเถิด” มีเป็นประจำเพื่อชี้แจงวิธีที่จะเรียนรู้ด้วยตนเองจนดูแลรักษาตนเองและผู้อื่นได้” |
อาการปวดหัว เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุดอาการหนึ่ง มนุษย์เราทุกคนคงเคยปวดหัวมาแล้วทั้งนั้น ในสังคมที่มีความเครียด (ความสับสน ความกังวล หงุดหงิด จิตใจมีสงบ) มาก อาการปวดหัวยิ่งมีมาก
อาการปวดหัวในที่นี้หมายถึง อาการปวดหรือเจ็บ หรือตื้อ หรือร้าว หรือหนักในบริเวณหัว ตั้งแต่บริเวณหน้าส่วนบน (หน้าผาก) ขึ้นไปที่ส่วนบนสุดของหัว แล้วลงไปยังบริเวณท้ายทอย และด้านข้างส่วนที่เป็นกะโหลกหัวทั้งหมด
เมื่อคนไข้มาหาด้วยอาการปวดหัว ขั้นตอนแรกที่จะต้องทำคือดูว่าเป็นคนไข้หนัก (ฉุกเฉิน)หรือไม่
คนไข้ปวดหัวแบบฉุกเฉิน
คนไข้ปวดหัว ที่ถือว่าฉุกเฉินหรือหนักคือคนไข้ปวดหัวที่มีอาการอื่นร่วมด้วยเพียงอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้คือ
1.อาการเจ็บหนัก
คนไข้ไม่ว่าจะมีอาการอะไร ถ้ามีอาการเจ็บหนักร่วมด้วย ย่อมถือว่าเป็นคนไข้หนัก (คนไข้อาการหนัก) หรือคนไข้ฉุกเฉินทั้งสิ้น อาการเจ็บหนักมีอะไรบ้างได้กล่าวไว้แล้วในหมอชาวบ้าน ฉบับที่ 64-65
การรักษา
ให้รักษาแบบคนไข้เจ็บหนักดังที่กล่าวไว้ในหมอชาวบ้านสองฉบับก่อน และให้ยาแก้ปวดด้วย อาจใช้น้ำร้อนหรือน้ำเย็น (น้ำแข็ง)ประคบบริเวณที่ปวด (ควรใช้น้ำร้อนประคบถ้ามีการกดเจ็บบริเวณที่ปวด แต่ถ้าไม่มีอาการกดเจ็บบริเวณที่ปวด ควรใช้น้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบ) แล้วรีบพาไปหาหมอ
ขั้นตอนแรกของการตรวจรักษาอาการปวดหัว | |
ปวดหัว | |
ฉุกเฉิน | ไม่ฉุกเฉิน |
-มีอาการเจ็บหนัก -เพิ่งปวดครั้งแรกและรุนแรง -ร่วมกับการอาเจียนพุ่ง -ร่วมกับอาการตาผิดปกติ -ร่วมกับอาการคอแข็ง -ร่วมกับภาวะความดันเลือดสูงมาก -ร่วมกับการกดเจ็บบริเวณกะโหลกศีรษะ |
2.เพิ่งปวดหัวเป็นครั้งแรก และปวดรุนแรง (ปวดมาก)
นั่นคืออาการปวดหัวครั้งนี้มีลักษณะ (อาการ)แปลกกว่าครั้งอื่น ๆ และลักษณะแบบที่เป็นครั้งนี้เพิ่งเป็นครั้งแรก ไม่เคยเป็นมาก่อน และปวดมาก (ปวดรุนแรง) อาจจะปวดตลอดเวลา (ไม่มีเวลาสร่าง)หรือปวดมากเป็นครั้งคราว (เป็น ๆ หาย ๆ )
การรักษา
1.ให้คนไข้อยู่ในท่าที่สบายที่สุด จะนอนหรือนั่งหรืออื่น ๆ ก็ได้ ถ้าทำให้อาการปวดนั้นดีขึ้น
2.ให้ยาแก้ปวด เช่นพาราเซตามอล 1-2 เม็ด
3.ใช้น้ำร้อนหรือน้ำเย็น (น้ำแข็ง)ประคบที่บริเวณที่ปวด
4.ให้กำลังใจคนไข้
5.ให้การปฐมพยาบาลอื่นๆ แล้วรับพาไปหาหมอ
3. อาเจียนพุ่ง(projectile vomiting)
คืออาการอาเจียนที่พุ่งพรวดออกมาโดยไม่มีอาการขย้อนหรืออาการคลื่นไส้นำมาก่อน อาการอาเจียนมักจะรุนแรง ทำให้อาหารและน้ำพุ่งพรวดออกมาจากปาก จึงเรียกว่า อาเจียนพุ่ง
คนไข้ที่ปวดหัวแล้วอาเจียนพุ่ง ทำให้สงสัยว่าความดันในกะโหลกศีรษะเพิ่ม (increased intracranial pressure) ซึ่งอาจเกิดจากสมองบวม (brain edema), เลือดออกหรือเนื้องอกในกะโหลกศีรษะ (intracranial hemorrhage or tumour) หรือจากสาเหตุอื่น ๆ ซึ่งเป็นภาวะอันตราย
ภาวะความดันในกะโหลกศีรษะเพิ่มอาจตรวจรู้ได้โดยใช้กล้องส่องตรวจภายในตา (ophthalmoscopy) จะพบหัวประสาทตาบวม (papilledema) ได้
การรักษา
เช่นเดียวกับข้อ 2
4.ตาผิดปกติ
อาการตาผิดปกติที่ทำให้เกิดอาการปวดหัวแบบที่ถือว่าฉุกเฉิน คืออาการตาผิดปกติแบบหนึ่งแบบใดดังต่อไปนี้คือ
4.1 ตาแดงโดยไม่มีขี้ตา คือตาขาวจะเปลี่ยนเป็นสีแดง แต่ไม่มีขี้ตา และถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าอาการตาแดงนั้นจะแดงจัดบริเวณรอบตาดำ จางลงบริเวณรอบนอกออกไป มีอาการปวดตาและกดเจ็บ (ให้คนไข้หลับตา แล้วใช้ปลายนิ้วกดลูกตาเบา ๆ คนไข้จะเจ็บ) และสายตาจะผิดปกติด้วย (มองเห็นอะไรผิดปกติ หรือตาพร่ามัว หรือกลัวแสงมาก ) ซึ่งแตกต่างจากตาธรรมดา (ตาแดงแบบไม่มีอันตราย)
การแยกตาแดงแบบอันตราย และแบบไม่อันตราย (แบบธรรมดา) ให้ดูในตารางที่ 1
ตารางที่ 1 การแยกตาแดงแบบธรรมดา และแบบอันตราย | ||
ตาแดงธรรมดา (Conjunctivitis) | ตาแดงแบบอันตราย (acute glaucoma uveitis) | |
1.ตาขาวแดง | จากรอบนอก | จากรอบตาดำ |
2.ขี้ตา | มีมาก | ไม่มี |
3.เจ็บและกดเจ็บ | ไม่มี | มี |
4.มองเห็นผิดปกติ | ไม่มี | มีมาก |
4.2 รูม่านตาผิดปกติ (abnormal pupil) ตาข้างที่ผิดปกติมักจะมีรูม่านตา (pupil)โต(dilated) หรือเล็ก (constricted) หรือมีรูปผิดปกติ (คือไม่กลม อาจจะเป็นรูปรี หรืออื่น ๆ )หรือไม่มีปฏิกิริยาต่อแสง (no reaction to light) ทั้งนี้เพราะม่านตาอักเสบ หรือมีความผิดปกติอยู่
4.3 ลูกตาแข็ง หรือกดเจ็บ ให้คนไข้หลับตา แล้วใช้ปลายนิ้วกดที่ลูกตาเบาๆ ถ้ารู้สึกว่าลูกตาแข็งและกดเจ็บมากกว่าอีกข้างหนึ่งให้นึกถึงต้อหิน (glaucoma) แต่ถ้ากดเจ็บอย่างเดียวโดยไม่แข็ง ให้นึกถึงการอักเสบในลูกตา (uveitis)
ในกรณีที่ปวดหัวและตาผิดปกติดังกล่าวข้างต้น ให้รีบรักษาทันที
การรักษา
1.ถ้ามีหมอตาอยู่ใกล้ ๆ ให้รีบไปหาหมอตา
2.ถ้าไม่มีหมอตาอยู่ใกล้ ๆ ให้แยกอาการตาแดงแบบอันตราย ออกเป็นแบบต้อหิน หรือแบบการอักเสบในลูกตา โดยดูตารางที่ 2
ตารางที่ 2 | ||
การแยกต้อหินแบบฉับพลัน หรือเฉียบพลัน (acute glaucoma) จากการอักเสบในลูกตาแบบเฉียบพลัน (acute uveritis) | ||
ต้อหิน (glaucoma) | การอักเสบในลูกตา (uveritis) | |
1.กลัวแสง | น้อยหรือไม่กลัว | กลัวแสงมาก |
2.เห็นสีรุ้งรอบดวงไฟโดย เฉพาะในเวลาเย็น | เห็น | ไม่เห็น |
3.ตาพร่ามัว (บอด)อย่างรวดเร็ว | เป็นมาก | เป็นน้อย |
4.กดดูที่ลูกตา | แข็ง | ไม่แข็ง |
5.รูม่านตา | โตเป็นรูปรีและไม่มีปฏิกิริยาต่อแสง | เล็ก(อาจเล็กเท่ารูเข็ม) |
(ยังมีต่อ)
- อ่าน 8,239 ครั้ง
พิมพ์หน้านี้