• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

วิตามินอี

วิตามินอี


จากความรู้ในการเรียนสุขศึกษาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนมัธยม ทำให้เรารู้ว่าวิตามินอีช่วยให้ไม่เป็นหมัน และมีอยู่ในอาหารจำพวกไขมัน เรามักจะจำและเชื่ออย่างนี้มาตลอด มาถึงปัจจุบัน ก็ได้ยินได้ฟังเรื่องวิตามินอีในส่วนที่เกี่ยวกับความสวยความงามในรูปของครีมบำรุงผิวบ้าง แชมพูสระผมบ้าง ว่าช่วยถนอมผิวให้ดูอ่อนกว่าวัย หรือช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรง เงางาม หรือช่วยรักษาโรคนั้นโรคนี้ได้ จึงเริ่มสับสนและอยากรู้ว่าเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน และวิตามินอีมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไรบ้าง คุณเองก็อาจมีคำถามเช่นเดียวกันนี้ ลองมาหาคำตอบพร้อมๆ กันสิคะ

ประโยชน์ของวิตามินอี

หน้าที่ของวิตามินอีที่สำคัญที่สุดอันแรก ก็คือ ช่วยป้องกันเยื่อบุในร่างกายจากการทำลายของออกซิเจน ออกซิเจนเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อร่างกายคนเรามาก เพราะต้องใช้ในการหายใจ แต่ในบางครั้งออกซิเจนเมื่ออยู่ในร่างกายแล้วมีมากเกินไป ในสภาพที่แตกต่างไปจากออกซิเจนธรรมดา ก็อาจจะมีการทำลายสารต่างๆ ในร่างกายหรือเยื่อบุในร่างกายได้ ซึ่งวิตามินอีจะมีฤทธิ์ช่วยป้องกันการทำลายเนื่องจากออกซิเจนดังกล่าว

สอง การหายใจของเซลล์กล้ามเนื้อและหัวใจ ต่างก็ต้องอาศัยวิตามินอี

สาม มีผู้วิจัยพบว่า วิตามินอีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างโปรตีน เนื่องจากการสร้างโปรตีนหลายชนิด เช่น การทำงานของเอนไชม์ที่เราถือว่าเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งก็ต้องพึ่งวิตามิน ถ้าขาดวิตามินอีจะทำให้การทำงานของเอนไซม์เป็นไปได้ไม่ดี และจะมีผลกระทบต่อการสร้างโปรตีน

นอกจากนี้วิตามินยังมีส่วนทำให้เยื่อบุของผิวเม็ดเลือดแดงมีสุขภาพแข็งแรง ไม่แตกง่าย โดยเฉพาะเด็กที่คลอดมามีน้ำหนักน้อยหรือคลอดก่อนกำหนด จะมีการสะสมวิตามีนอีในร่างกายน้อย ถ้าได้รับวิตามินอีไม่เพียงพอหลังคลอด เด็กเหล่านี้จะมีโอกาสเกิดภาวะโลหิตจาง เนื่องจากเม็ดเลือดแตกง่าย

ความต้องการวิตามินอีของร่างกาย

ร่างกายของคนเราจะมีความต้องการวิตามินอีไม่เท่ากัน ซึ่งขี้นอยู่กับเพศและวัยที่แตกต่างกันด้วย สำหรับเด็กแรกเกิดถึง 6 เดือน มีความต้องการวิตามินอีวันละประมาณ 3 มิลลิกรัม ถ้าเด็กที่กินนมแม่ก็จะได้รับวิตามินอีอย่างเพียงพอ เพราะในนมแม่ 1 ลิตร จะมีวิตามินอีอยู่ประมาณ 1.3-3.3 มิลลิกรัม

เด็กในวัย 6-12 เดือน ต้องการวันละประมาณ 4 มิลลิกรัม ช่วงระหว่างอายุ 1-14 ปี ร่างกายจะมีความต้องการวิตามินอีเพิ่มขึ้นวันละ 5-8 มิลลิกรัม และตั้งแต่อายุ 15 ปีขึ้นไป เพศชายควรได้รับวิตามินอีวันละ 10 มิลลิกรัม ส่วนเพศหญิงควรได้รับวันละ 8 มิลลิกรัม และในหญิงให้นมบุตรจะต้องการวิตามินอีเพิ่มขึ้นมากถึง 13 มิลลิกรัม

วิตามินอีที่ร่างกายได้รับในแต่ละวันนั้นจะมาจากการกินอาหารจำพวกไขมันอยู่แล้ว แต่มีคนบางคนอาจจะเข้าใจผิดว่า ร่างกายขาดวิตามินอี จึงได้สรรหาวิตามินอีในรูปยาเม็ดมากิน โดยไม่รู้ว่าหากร่างกายได้รับวิตามินอีมากเกินไปจะมีผลต่อร่างกายอย่างไรบ้าง

คนที่ได้รับวิตามินอีมากเกินไปติดต่อกันเป็นเวลาหลายเดือน จะมีอาการปวดหัว คลื่นไส้ อ่อนเพลีย ซึม และสายตามัว และถ้ากินวันละ 2-4 กรัม (2,000-4,000 มิลลิกรัม) ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงมากเป็นเวลา 3 เดือนติดต่อกัน จะเกิดอาการมุมปากอักเสบ ริมฝีปากอักเสบ และกล้ามเนื้อไม่มีแรง แต่อาการเหล่านี้จะหายไปเองเมื่อหยุดกินยาเม็ดวิตามินอี

ความเชื่อเกี่ยวกับวิตามินอี

หลายคนมีความเชื่อว่า วิตามินอีเป็นยาอายุวัฒนะ สามารถช่วยชะลอความแก่ได้ ป้องกันการเป็นหมัน ทำให้สมรรถภาพทางเพศดีขึ้น ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด และล่าสุดยังบอกว่าสามารถป้องกันโรคมะเร็งได้ ด้วยความเชื่อเหล่านี้จึงได้มีคนพยายามขวนขวายหายาวิตามินอีหรือสูตรต่างๆ ที่มีส่วนผสมของวิตามินอีมากิน แต่ในความเชื่อนั้นก็ยังไม่มีข้อพิสูจน์ว่ามีผลต่อร่างกายตามที่เชื่อกันแต่อย่างใด

ในด้านที่เกี่ยวข้องกับความสวยงาม โดยเฉพาะกับคุณผู้หญิงทั้งหลายที่ไม่ค่อยจะยอมแก่ ด้วยความกลัวไม่สวยไม่หล่อจึงได้พยายามหาเครื่องประทินผิวบำรุงโฉมมาใช้กันอย่างแพร่หลาย และวิตามินอีก็เป็นสารอีกตัวหนึ่งที่ผู้ผลิตได้นำมาเป็นส่วนผสมของครีมโลชั่นบำรุงผิวต่างๆ ยี่ห้อ และโฆษณาสรรพคุณว่า ช่วยบำรุงผิวต่างๆ นานา ซึ่งจากการวิจัยที่ผ่านๆ มาก็ยังไม่มีหลักฐานที่ยืนยันสมมติฐานอันนี้ แต่ก็ยังไม่มีผลการวิจัยที่ออกมาคัดค้านอีกเช่นกัน

ครีมโลชั่นที่ผสมวิตามินอีและเชื่อว่าช่วยบำรุงผิวนั้น อาจจะช่วยได้บ้างแต่ก็คงน้อยมาก เพราะวิตามินอีเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน การดูดซึมต่างๆ ที่จะเข้าสู่ร่างกายจึงเป็นไปได้น้อยมาก จะแตกต่างจากวิตามินที่ละลายในน้ำ ซึ่งจะดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายกว่า ในส่วนที่บอกว่าจะทำให้ผิวพรรณดีขึ้นตามที่โฆษณากันนั้น น่าจะมีผลการศึกษาที่ชัดเจนว่า เรื่องนี้มีความเป็นจริงเป็นจังแค่ไหน พูดเกินจริงไปหรือเปล่า ก็ขอฝาก อ.ย. (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) ช่วยหาความจริงมาเผยแพร่ให้ประชาชนได้ทราบด้วย แต่ถ้าอยากจะมีผิวพรรณดีหรือมีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์จริงๆ ไม่ยากหรอกค่ะ เพียงแต่รักษาความสะอาดของร่างกาย กินอาหารให้ครบทุกหมู่ ดื่มน้ำมากๆ ออกกำลังกายเสมอๆ เท่านี้ก็เป็นการบำรุงผิวบำรุงร่างกาย อย่างดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปซื้อหาอะไรมากินมาทาให้เปลืองเงินหรอกค่ะ

ข้อมูลสื่อ

172-014
นิตยสารหมอชาวบ้าน 172
สิงหาคม 2536
รู้ก่อนกิน