คลังความรู้สื่อสังคมออนไลน์

  • ดื่มน้ำน้อยมีผลร้ายต่อร่างกาย
    ร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำ 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ เลือดประกอบด้วยน้ำ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ กระดูกประกอบด้วยน้ำ 22 เปอร์เซ็นต์ ร่างกายเสียน้ำวันละ 2 ลิตรเศษ แล้วเรารับน้ำเข้าสู่ร่างกายเท่าใด เพียงพอแก่ความต้องการของร่างกายหรือไม่ ถ้าร่างกายขาดน้ำเลือดเราจะข้นหนืด ยากที่หัวใจจะสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย สมองก็จะเกิดอาการเสื่อมเพราะเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ เส้นเลือดก็จะตีบตัน หากร่างกายได้รับน้ำเพียงวันละ 2-3 แก้ว ไม่เกิน 500 ซีซี เลือดจะข้นหนืดเต็มไปด้วยไขมัน

    นอกจากนี้หากร่างกายขาดน้ำ ลำไส้ก็จะแห้ง ไม่มีน้ำที่จะให้อุจจาระออกมาได้ ของเสียก็จะสะสมอยู่ในลำไส้ ลำไส้ก็จะดูดซึมของเสียนั้นกลับเข้าร่างกายอีก เลือดเราก็จะสกปรกและข้นหนืดมากขึ้นไปอีก และหากเลือดที่เสียเมื่อเข้าไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายก็จะมีปัญหามากมายตามมา ช่องทางในการขับของเสียของร่างกายมีอยู่ 5 ช่องทางด้วยกัน คือ ไต ขับออกมาทางปัสสาวะ ลำไส้ใหญ่ ขับออกมาทางอุจจาระ ปอด ขับออกมาทางลมหายใจ ผิวหนัง ขับออกมาทางเหงื่อ รอบเดือน ขับออกมาทางประจำเดือน เมื่อช่องทางการขับของเสียไม่สมบูรณ์หรือถูกปิดกั้น มันก็จะพยายามหาทางออกให้ได้ เช่น ออกมาเป็นสิว ฝ้า กระ ฝี ริดสีดวง

    วิธีดื่มน้ำที่ถูกต้อง
    - ตอนเช้าหลังตื่นนอนให้ดื่มน้ำทันที 2-5 แก้ว เพื่อขับพิษออกจากร่างกายทางอุจจาระ ปัสสาวะ
    - ระหว่างรับประทานอาหาร และหลังอาหาร 40 นาที ดื่มน้ำได้ไม่เกินครึ่งแก้ว ในที่นี้หมายรวมถึงซุป น้ำแกง และของเหลวทุกประเภทเพราะช่วงเวลาที่รับประทานข้าวนั้น ร่างกายจำเป็นต้องอาศัยน้ำย่อยในการ ย่อยอาหาร เมื่อดื่มน้ำเข้าไปมาก ๆ น้ำย่อยก็จะเจือจาง ทำให้อาหารไม่ย่อย หมักหมม พิษถูกดูดเข้าเส้นเลือด
    - ในแต่ละวันไม่ดื่มน้ำครั้งละมากๆ ให้จิบครั้งละ 2-3 อึก แต่จิบถี่ๆ หาขวดน้ำแก้วน้ำมาวางไว้ข้างตัว จิบไปทั้งวัน เพราะถ้าดื่มน้ำครั้งละมาก ๆ ผลก็คือร่างกายยังไม่ทันได้ดูดซึมก็ไหลรวดเดียวเป็นปัสสาวะออกไป
    - ไม่ควรดื่มน้ำเย็นจัดเนื่องจากเป็นของต้องห้ามสำหรับกระเพาะเมื่อเจอของเย็นเข้าไปการทำงานจะด้อยลงทันที เกิดเป็นอาหารไม่ย่อย อาหารบูดเน่า หมักหมมอยู่ในกระเพาะและลำไส้ ดังนั้นจึงควรดื่มน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นจะเป็นการดีต่อสุขภาพ

    6 ปี 13 สัปดาห์ ที่แล้ว
  • น้ำพริกไข่ปู
    เมนูอาหารพื้นบ้านภาคตะวันออก เช่น จังหวัดจันทบุรี ตราด ระยอง ที่นำไข่ปูทะเลมาเป็นวัตถุดิบหลักกินเคียงกับผักต่างๆ โดยเฉพาะผักพื้นบ้านจึงให้คุณค่าทางโภชนาการที่หลากหลาย โดยปกติไข่จากสัตว์ทุกชนิดรวมทั้งไข่ปู จะมีคอเลสเตอรอลสูงแต่ก็มีโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ เมนูนี้น่าสนใจตรงที่สามารถนำไข่ปูมาปรุงรวมกับเครื่องเทศและสมุนไพรสด คือ พริก กระเทียมและมะนาว แล้วกินคู่กับผักเคียงและข้าวสวย จึงทำให้ เมนูน้ำพริกไข่ปูให้ประโยชน์ไม่น้อยเลยทีเดียว

    เครื่องปรุง ไข่ปูนึ่งสุก 1/2 ถ้วยตวง กระเทียมกลีบเล็กปอกเปลือก 1/4 ถ้วยตวง พริกขี้หนูสด 1 ช้อนโต๊ะ พริกขี้หนูสด 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทรายแดง 1 หยิบมือ

    วิธีปรุง นำพริกขี้หนู กระเทียมที่ปอกเปลือกเตรียมไว้แล้วมาโขลกให้ละเอียด เมื่อกระเทียมและพริกขี้หนูละเอียดแล้วให้นำไข่ปูที่เตรียมไว้โขลกรวมกัน ตักใส่ถ้วย แล้วปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว และน้ำตาลทรายแดง คลุกเคล้าให้เข้ากัน แต่งสีสันน้ำพริกที่ปรุงเสร็จแล้วด้วยการนำพริกขี้หนู มาแต่งบนหน้าน้ำพริกให้ดูสวยงาม เสิร์ฟพร้อมผักเคียง กินคู่กับข้าวสวยร้อนๆ

    ข้อดีน้ำพริกไข่ปูคือ มีเส้นใยอาหารสูง แต่สิ่งที่ตามมาก็จะมีคอเลสเตอรอลที่สูงไปเล็กน้อย คือ ประมาณร้อยละ 20 แต่ก็ไม่สูงจนน่ากลัวเพียงแต่ให้ระวังว่าคอเลสเตอรอลนั้นมาจากไข่ปู ข้อดีอีกอย่างคือ โซเดียมต่ำ เนื่องจากเราก็กินน้ำพริกเป็นเครื่องจิ้ม จึงได้รับครั้งละไม่มาก เรากินผักมากกินข้าวมาก เพราะฉะนั้นก็จะทำให้ได้รับโซเดียมไม่สูงเกินไป

    (เครดิตข้อมูล: สูตรน้ำพริกไข่ปูโดยกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรคลองนารายณ์ จังหวัดจันทบุรี /เครดิตภาพ : bit_bkk)

    6 ปี 13 สัปดาห์ ที่แล้ว
  • ทอดมันปลากราย
    นอกจากจะกินเป็นกับข้าวแล้ว ยังกินเป็นอาหารว่างด้วย เนื้อปลาที่นิยมใช้ คือ ปลากราย เพราะเมื่อโขลกแล้วเนื้อปลาจะเหนียว ทำให้ได้ทอดมันที่เหนียวอร่อย เวลาทอดจะฟูสวย ทอดมันปลากรายที่ดี เนื้อปลาต้องสด รสชาติมีเค็มนำ มีรสหวานตามธรรมชาติของเนื้อปลากรายและรสเผ็ดเล็กน้อยจากเครื่องแกง แต่ปัจจุบันปลากรายค่อนข้างหายากและมีราคาแพง จึงใช้เนื้อปลาอื่นแทน แต่จะให้ได้อร่อยเท่าปลากรายแท้ๆ คงเป็นไปไม่ได้

    (เครดิตภาพ : HyNguNgi, Gajeab_Chicho, ทำไมจัง, ช้าง)

    วิธีทำ :>> http://bit.ly/1vHpsGB

    6 ปี 13 สัปดาห์ ที่แล้ว
  • มือ ก็ป่วยได้
    มือ เป็นอวัยวะที่เราใช้งานเกือบตลอดเวลาและทั้งชีวิต ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็มักมีมือเป็นองค์ประกอบร่วมเสมอ ซึ่งการใช้งานมือด้วยลักษณะท่าทางที่แตกต่างกันไปบางท่านั้น อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เราเกิดอาการเคล็ด ติดขัด ตึง ปวดมือจนนำไปสู่โรคทางมือ

    เริ่มแรกลองสังเกตกันดูว่า คุณกำลังมีอาการเหล่านี้หรือเปล่า มือชา ปวดมือ ข้อนิ้วเคล็ด นิ้วเหยียดไม่สุด! ถ้าใช่ มือของคุณอาจกำลังเสี่ยงกับการเป็น

    โรคพังผืดกดทับเส้นประสาทมีเดียนที่ข้อมือ
    หรือที่คนทั่วไปรู้จักกันว่า โรคเส้นประสาทข้อมือถูกกดทับ หรือโรคพังผืดข้อมือ เกิดจากการใช้งานข้อมือซ้ำๆ หรือกระดกข้อมือค้างไว้นานๆ ทำให้เกิดความดันในช่องกระดูกหรืออุโมงค์ข้อมือเพิ่มขึ้น ซึ่งผนังตรงช่องกระดูกข้อมือคือ พังผืด เมื่อเส้นประสาทมีเดียนที่วิ่งผ่านช่องกระดูกข้อมือถูกกดทับ ทำให้ขาดเลือดไปเลี้ยงเส้นประสาทจะบวมและถูกทำลาย เกิดการหนาตัวของพังผืด ระยะแรกจะมีอาการชาที่ปลายนิ้ว และระยะต่อมาจะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง

    ลักษณะอาการ
    รู้สึกชาหรือปวดที่บริเวณนิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง และครึ่งหนึ่งของนิ้วนาง บางขณะอาจปวดร้าวไปที่ท่อนแขน และมักเป็นตอนกลางคืนขณะหลับ บางครั้งปวดจนต้องตื่นขึ้นกลางดึก หรือมีอาการตอนเช้าหลังตื่นนอน พอได้ขยับมือจะเริ่มอาการดีขึ้น ถ้ามีอาการเรื้อรังเป็นเวลานานจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนิ้วหัวแม่มืออ่อนแรง จนการใช้งานของมือลดลง

    (เครดิตข้อมูล : หนังสือมือป่วยได้ ถ้าใช้มากเกิน)

    6 ปี 13 สัปดาห์ ที่แล้ว
  • อาหารกับมะเร็ง
    อาหารมีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคมะเร็ง อาหารที่ไม่ดีหรือไม่เหมาะสมอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง ในทางตรงกันข้าม อาหารที่ดีจะสามารถป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้ อาหารที่ดีคืออาหารที่ถูกสุขลักษณะ มีคุณภาพ และปริมาณที่เหมาะสม รวมทั้งชะลอการดำเนินของโรคมะเร็งได้ และเสริมสร้างร่างกายให้ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว

    เคล็ดลับการป้องกันมะเร็ง
    1. รักษาสุขภาพให้แข็งแรง ดูแลน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม
    2. กินผัก ผลไม้ให้ได้ครึ่งของอาหารแต่ละมื้อ โดยเลือกกินผัก ผลไม้หลากสี
    3. จำกัดประเภทเนื้อสัตว์ที่มีสีแดง
    4. เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ เน้นอาหารอ่อนเค็ม หวานน้อย และไขมันต่ำ
    5. หลีกเลี่ยงอาหารที่ไหม้เกรียม
    6. เน้นกินอาหารที่เตรียมและเก็บรักษาอย่างถูกสุขลักษณะ
    7. งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ งดการสูบบุหรี่

    เรื่องของสุขภาพ ทุกคนจะต้องดูแลตนเองเป็นหลัก และปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันโรคภัยไข้เจ็บอย่างสม่ำเสมอ

    6 ปี 13 สัปดาห์ ที่แล้ว
  • ขิง : ยาอายุวัฒนะ
    ขงจื๊อ ปราชญ์จีน ได้เสนอว่า "อาหารทุกมื้อไม่ควรละเลยขิง" ท่านเชื่อว่าบรรดาผักต่างๆ ขิงมีคุณค่ามากที่สุด สามารถทำให้มีชีวิตชีวา สรรพคุณของขิงมีมากมาย อาทิ ขจัดของเสียในร่างกาย มีฤทธิ์ยับยั้งกรดในกระเพาะอาหาร แก้อาเจียน แก้ไอ ขับเสมหะ กระตุ้นการทำงานของหัวใจ ทำให้เลือดไหลเวียนดี ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หลับสนิทดี ป้องกันและรักษาตับอักเสบ มีสารต้านมะเร็ง สารต้านอนุมูลอิสระ แก้ปวดข้อ ปวดเข่า แก้ปัญหาท้องผูก จุกเสียดแน่น ฯลฯ

    ตำรับยา
    การประยุกต์ใช้ทางคลินิก
    1. แก้ปวดข้อ ปวดเข่า ใช้น้ำคั้นจากเหง้าสด ผสมกาวหนังวัว เคี่ยวให้ข้น นำไป พอกบริเวณที่ปวด หรือใช้เหง้าสดย่างไปตำผสมน้ำมัน มะพร้าวใช้ทาบริเวณที่ปวด
    2. บรรเทาอาการแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น ต้มขิงสดที่ตำให้ละเอียดกับน้ำ 300 มิลลิลิตร นาน 30 นาที กินวันละ 3 เวลา เป็นเวลา 2 วัน
    3. รักษาโรคบิด ใช้ขิงสด 75 กรัม น้ำตาลแดงตำเข้าด้วยกัน แบ่งกินเป็น 3 มื้อต่อตำรับ
    4. ป้องกันรักษาอาการเมารถ เมาเรือ ใช้ขิงสด 25 กรัม ตำละเอียด คั้นเอาเฉพาะน้ำดื่ม (ไม่ต้องดื่มน้ำตาม)
    5. รักษาลำไส้อุดกั้นจากพยาธิตัวกลม ใช้ขิงสด 120 กรัม ตำละเอียด คั้นเอาน้ำขิงผสมกับน้ำผึ้ง 120 กรัม กินครั้งเดียว หรือค่อยๆ กินหมดภายในครึ่งชั่วโมง
    6. เป็นหวัดตัวร้อนเป็นไข้เนื่อง จากกระทบความเย็น เช่น โดนฝน โดนลม ทำให้หนาว มีไข้ต่ำๆ ให้หั่นขิงฝอย 30 กรัม ชงกับน้ำตาลทรายแดง หรืออาจใส่หัวหอมทุบ 3-4 หัว (ช่วยกระจายลม) ดื่มขณะร้อนๆ แล้วห่มผ้าให้เหงื่อออก
    7. ฟื้นฟูร่างกายภายหลังคลอดบุตร นิยมให้หญิงหลังคลอดกินไก่ผัดขิง ช่วยทำให้การย่อยดูดซึมอาหารดีขึ้น มีการขับระบายของเสียน้ำตกค้าง น้ำคาวปลาได้ดีขึ้น ทำให้ร่างกายกลับสู่ภาวะปกติเร็วขึ้น
    8. แก้หวัด แก้ไอ ใช้เหง้าขิงสดอายุ 11-12 เดือน ขนาดเท่าหัวแม่มือ หนักประมาณ 5 กรัม ทุบให้แตก แล้วต้มเอาน้ำมาดื่ม ถ้ามีอาการไอร่วมด้วยก็อาจผสมน้ำผึ้งในน้ำขิง หรืออาจเหยาะเกลือลงในน้ำขิงเล็กน้อยหากมีอาการไอร่วมกับเสมหะ เกลือจะทำให้ระคายคอและขับเสมหะที่ติดในลำคอออกมา จิบน้ำขิง บ่อยๆ แทนน้ำ รับรองอาการหวัดหายเป็นปลิดทิ้ง
    9. แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ จุก เสียดแน่น แก้ปวดท้อง นำขิง 30 กรัม ชงกับน้ำเดือด 500 มิลลิลิตร แช่ทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง ดื่มครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ (60 มิลลิลิตร)
    10. แก้คลื่นไส้ อาเจียน ใช้ขิงสด 30 กรัมสับให้ละเอียด ต้มดื่มขณะท้องว่าง
    11. แก้ปวดประจำเดือน ใช้ขิงแห้ง 30 กรัม น้ำตาลอ้อย (หรือน้ำตาลทรายแดง) 30 กรัม ต้มน้ำดื่ม
    12. เด็กเป็นหวัดเย็น เอาขิงสดและรากฝอยต้นหอมตำรวมกัน เอาผ้าห่อคั้นเอา แต่น้ำทาที่คอ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า หน้าอก และหลังของเด็ก
    13. ผมร่วงหัวล้าน ใช้เหง้าสด นำไปผิงไฟให้อุ่น ตำพอกบริเวณที่ผมร่วง วันละ 2 ครั้ง สัก 3 วัน ถ้าเห็นว่า ดีขึ้นอาจจะใช้พอกต่อไปจน กว่าผมจะขึ้น

    (เครดิตภาพ : j-moo, mamchan)

    ** สมุนไพรใกล้ตัว มุ่งเสนอสรรพคุณทางยา การนำไปใช้ควรพิจารณาอย่างรอบด้าน **

    6 ปี 13 สัปดาห์ ที่แล้ว
  • ยาพาราเซตามอล...กินมากอันตราย
    คนทั่วไป เมื่อมีอาการปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ ปวดฟัน ปวดหลัง ปวดเอว ฯลฯ ก็มักจะหยิบยา “พาราเซตามอล” มากินเพื่อบรรเทาอาการ อย่างไรก็ตาม “ยาไม่ใช่ขนม” หรือ “มีคุณอนันต์ และโทษมหันต์” เพราะยาพาราเซตามอล หากมีการใช้เกินขนาด ก็อาจจะเกิดอันตรายและเป็นพิษเป็นภัยต่อสุขภาพร่างกายของผู้ใช้ยานี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ ทั้งสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี

    ยาพาราเซตามอล กินเกินขนาด...จะมีพิษต่อตับ
    ตัวอย่างเช่น ผู้ใหญ่ที่มีอาการปวดหัวเป็นประจำ ใช้ยาพาราเซตามอล ขนาด 500 มิลลิกรัม ครั้งละ 2 เม็ด รวมเป็น 1,000 มิลลิกรัม หรือ 1 กรัม ติดต่อกันทุก 4 ชั่วโมง เป็นเวลา 1 วัน ซึ่งจะได้รับยาชนิดนี้ทั้งสิ้น 6 กรัมต่อวัน (ขนาดสูงสุดที่แนะนำ คือ 4 กรัมต่อวัน) ยาพาราเซตามอลกินขนาดสูงจะส่งผลให้ตับของผู้ใช้ยารายนี้ทำงานหนักยิ่งขึ้น เพื่อขจัดยานี้ออกจากร่างกาย และทำให้เกิดสารพิษสะสม หากมีจำนวนมากๆ ก็จะส่งผลทำลายตับ ทำให้ตับวาย และถ้าไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม ก็อาจจะถึงแก่ชีวิตได้

    อันตรายต่อตับจะเกิดขึ้นเมื่อได้รับยาพาราเซตามอลขนาดสูง ทั้งแบบเฉียบพลัน และแบบเรื้อรัง โดยแบบเฉียบพลันนี้จะเกิดขึ้นทันที หลังจากที่ได้รับยาชนิดนี้เกินขนาดสูงๆ เช่น ในผู้ใหญ่ที่ใช้ครั้งละ 6-7 กรัม หรือเด็กที่ได้รับยามากกว่า 200 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัมต่อวัน เป็นต้น ขณะที่การเกิดพิษแบบเรื้อรัง จะเกิดจากการใช้ยาในขนาดสูง และติดต่อกันนานๆ หลายวัน หลายสัปดาห์ หรือเป็นปี จึงจะเกิดพิษต่อตับได้

    6 ปี 13 สัปดาห์ ที่แล้ว
  • จำปีสิรินธร
    พันธุ์ไม้ชนิดใหม่ของโลก สำรวจพบครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ.2543 โดย ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย บริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำหรือป่าพรุน้ำจืดที่บ้านซับจำปา ตำบลซับจำปา อำเภอท่าหลวง จังหวัดลพบุรี และที่ป่าพรุน้ำจืด ตำบลน้ำสวย อำเภอเมือง จังหวัดเลย เป็นไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 20-30 เมตร ดอกมีสีขาวนวล มีกลีบดอก 12-15 กลีบ ออกดอกช่วงเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม

    6 ปี 13 สัปดาห์ ที่แล้ว
  • วิถีบ้านเรา : วิดปลา
    หลังฤดูเก็บเกี่ยว น้ำในคูคลอง หนองน้ำที่มีอยู่ เริ่มแห้งขอด ได้เวลาปฏิบัติการรวมญาติ "วิดปลา" จับปลาหมอ ปลาช่อน ปลาดุก และปลาธรรมชาติอื่นๆ ที่มาอาศัยอยู่ในบ่อคูคลองของชาวบ้านช่วงหน้าฝนน้ำหลาก หากมีปลาช่อนตัวใหญ่ๆ นิยมนำไปทำแปะแซ๊ะปลาช่อน น้ำยาขนมจีน ระหว่างรอน้ำก้นบ่อแห้ง จับปลาหมอ ปลาช่อนโยนลงกองไฟหรือเสียบไม้ผิงไฟย่างจิ้มพริกเกลือที่เตรียมมาเรียกน้ำย่อยดีนัก

    (เครดิตภาพ : jaea, ever rich, ธเนศ1, ทาคุ, ชาวนา)

    6 ปี 13 สัปดาห์ ที่แล้ว
  • หัวปลี : มากแคลเซียม
    อุดมด้วยคุณทางโภชนาการมากแคลเซียม ที่มีมากกว่ากล้วยสุกถึง 4 เท่า โปรตีน ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส วิตามินซี บีตาแคโรทีน สรรพคุณเหลือล้น อาทิ แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้โรคเกี่ยวกับลำไส้ โรคโลหิตจาง บำรุงร่างกาย บำรุงกระดูก แก้โรคกระเพาะอาหาร ลำไส้ บำรุงเลือด คนโบราณจึงสอนกันต่อๆ มาว่า ผู้หญิงที่คลอดลูกใหม่ๆ ให้กินหัวปลีมากๆ จะได้มีน้ำนมให้เลี้ยงลูกนานๆ เมนูแนะนำ แกงเลียงหัวปลี ยำหัวปลี ต้มยำกะทิหัวปลี ลวกจิ้มน้ำพริก ทอดมันหัวปลี หัวปลีชุบแป้งทอด

    (เครดิตภาพ : บูตะ กะ กิมจิม, ก่อพงษ์, swin, ผ้าไหมไทย, 21inf, {แม่สลิ่ม}, ToBeMind)

    6 ปี 13 สัปดาห์ ที่แล้ว